.

WGC เผย ธนาคารกลางทั่วโลก ปรับกลยุทธ์สำรองทองคำ เน้นใช้สกุลเงินท้องถิ่นซื้อทองคำในประเทศ แทนตลาดต่างประเทศ
19-7-2025
CNBC รายงานว่า แนวโน้มการซื้อทองคำโดยธนาคารกลางกำลังเปลี่ยนทิศทางอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยหันมาซื้อทองคำที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น แทนการพึ่งตลาดทองคำระหว่างประเทศ ซึ่งต้องจ่ายเป็นสกุลเงินสำรองอย่างดอลลาร์สหรัฐ (U.S. dollar) ทำให้ประเทศต้องเสียสินทรัพย์สำรองเพื่อแลกกับอีกหนึ่งประเภทของสินทรัพย์สำรอง
“คุณสามารถโต้แย้งได้ด้วยซ้ำว่าการซื้อทองคำในประเทศอาจถูกกว่าการซื้อผ่านตลาดโลก เพราะธนาคารกลางหลายแห่งมักซื้อทองได้ในราคาส่วนลดเล็กน้อยจากราคาตลาด” ซ่าวไค่ ฟาน (Shaokai Fan) จากสภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC) กล่าวกับผู้สื่อข่าว
ในระบบเดิม ธนาคารกลางมักซื้อทองคำผ่านตลาด Over-the-Counter (OTC) ที่มีจุดศูนย์กลางหลักอยู่ในลอนดอน โดยซื้อในรูปแบบแท่งทองมาตรฐาน London Good Delivery (LGD) ผ่านธนาคารผู้ดูแลสินทรัพย์ (bullion banks) และทำการจัดเก็บในคลังสำรองชั้นนำ เช่น ธนาคารกลางอังกฤษ
แต่อัตราราคาทองคำที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับภาวะความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้การถือทองคำกลายเป็นทางเลือกสำคัญในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ข้อมูลจาก LSEG ระบุ ราคาทองคำ Spot ล่าสุดอยู่ที่ 3,328.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้นเกือบ 27% ตั้งแต่ต้นปี ทำให้การซื้อทองจากภายในประเทศได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะสามารถลดต้นทุนด้านค่าธนาคาร ค่านายหน้า และค่าขนส่ง ในขณะเดียวกันยังสามารถใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการสำรองทอง โดยไม่ต้องจ่ายด้วยดอลลาร์
“คุณสามารถเพิ่มทุนสำรองของชาติได้โดยใช้สกุลเงินในประเทศโดยไม่ต้องสูญเสียสกุลเงินสำรองอื่นอย่างดอลลาร์” ฟานกล่าวย้ำ
แต่อย่างไรก็ตาม หากประเทศนั้นไม่มีโรงกลั่นที่ได้มาตรฐาน LGD ทองคำจากเหมืองในประเทศก็ยังต้องส่งออกไปผ่านกระบวนการกลั่นในต่างประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการซื้อขายสากล ซึ่งเพิ่มต้นทุนในกระบวนการนี้
อะเดรียน แอช (Adrian Ash) ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ BullionVault กล่าวว่า หากประเทศใดมีโรงกลั่นภายในประเทศที่ได้รับการรับรองโดยสมาคมตลาดทองคำลอนดอน (London Bullion Market Association: LBMA) ก็จะช่วยลดต้นทุนในการแปรรูปได้ ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางฟิลิปปินส์มีสถานะเป็นผู้กลั่นมาตรฐาน LGD ในประเทศ คาซัคสถานมีโรงกลั่น 2 แห่งที่ได้รับการรับรอง ขณะที่รัสเซียมีมากถึง 7 แห่งก่อนถูกระงับการรับรองในปี 2022 ภายหลังการรุกรานยูเครน กานาและแซมเบียยังต้องพึ่งพาโรงกลั่นเกินประเทศซึ่งลดประสิทธิภาพเชิงต้นทุนลง
### กลยุทธ์ทางการเงินเพื่อความยืดหยุ่น
กลยุทธ์การซื้อทองคำจากแหล่งผลิตในประเทศยังเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้กับประเทศต่างๆ ซึ่งปัจจุบันเผชิญภาระหนี้สาธารณะระดับสูง ความเสี่ยงจากการค้าเสรีเบี่ยงเบน และความไม่มั่นคงภูมิรัฐศาสตร์
ผลสำรวจของสภาทองคำโลกพบว่า 95% ของธนาคารกลาง 73 แห่งที่ตอบแบบสอบถาม คาดว่าเพื่อนร่วมวงการทั่วโลกจะเพิ่มการถือครองทองคำภายในปีข้างหน้า
“ในอดีต หากธนาคารกลางต้องการซื้อทอง ก็จะสั่งซื้อจากตลาดโลกเท่านั้น แต่หากประเทศนั้นมีเหมืองทองภายใน ธนาคารกลางเริ่มคิดว่าอาจสามารถซื้อได้จากตรงนั้นโดยตรง” ฟานอธิบาย
### หนุนเศรษฐกิจฐานราก สร้างความชอบธรรมในระบบการผลิตทอง
นอกจากเหตุผลทางเศรษฐกิจแล้ว การสนับสนุนเหมืองในประเทศยังช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตทองและชุมชนท้องถิ่น โดยหลายประเทศ โดยเฉพาะในแอฟริกา มีอุตสาหกรรมเหมืองทองขนาดเล็ก (ASGM: Artisanal and Small-Scale Gold Mining) ซึ่งเชื่อมโยงกับปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย ความเสียหายจากสิ่งแวดล้อม และการลักลอบส่งออกอย่างผิดกฎหมาย
นิกกี้ ชีลส์ (Nicky Shiels) หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์โลหะมีค่าที่ MKS PAMP เตือนว่าการซื้อทองจากเหมืองขนาดเล็กมีความเสี่ยงด้านชื่อเสียง เนื่องจากมาตรฐานแรงงานและความโปร่งใสไม่เท่าเทียมกับทองจากธนาคารชั้นนำในตลาดโลก
แต่ WGC เห็นว่าธนาคารกลางที่มีความน่าเชื่อถือสูงและอำนาจการเงินมหาศาล อยู่ในตำแหน่งที่สามารถ "ยกระดับ" ห่วงโซ่อุปทานเหล่านี้ได้
“ธนาคารกลางสามารถใช้พลังการซื้อในระดับมหภาคเพื่อสร้างเงื่อนไขที่ดีต่อเจ้าของเหมืองรายย่อย สร้างช่องทางซื้อขายที่ถูกกฎหมายและเป็นธรรม” ฟานกล่าว “สิ่งนี้จะเบนทิศทองคำออกจากเครือข่ายใต้ดิน และเพิ่มความสามารถในการติดตาม ตรวจสอบ และสร้างระบบความโปร่งใสขึ้นใหม่”
“นี่จึงไม่ใช่แค่ประโยชน์เชิงทุนสำรอง แต่เป็น ‘ชัยชนะสองต่อ’ สำหรับทั้งประเทศและชุมชนเหมืองทองในประเทศของตนเอง” ฟานสรุป
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.cnbc.com/2025/07/16/central-banks-are-buying-gold-from-local-mines-amid-record-prices.html?__source=sharebar|twitter&par=sharebar