ความพยายามของ "ทรัมป์" เพื่อรางวัลโนเบล

เสียงวิจารณ์จากจีน ความพยายามของ "ทรัมป์" เพื่อรางวัลโนเบลสันติภาพคือ "การใช้อำนาจบีบบังคับ"
19-8-2025
SCMP รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ของสหรัฐอเมริกา กำลังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสันติภาพ ท่ามกลางข้อวิจารณ์จากนักวิชาการจีนที่มองว่ายุทธศาสตร์การไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างประเทศของทรัมป์มีความเสี่ยงสูงที่จะย้อนกลับกลายเป็นการเพิ่มความเผชิญหน้าในระยะยาว
จาง หลู่เว่ย (Zhang Luwei) นักวิจัยจากสถาบัน China Institutes of Contemporary International Relations เปิดเผยบทความทางโซเชียลมีเดียเมื่อสัปดาห์ก่อน ระบุว่ากลยุทธ์การไกล่เกลี่ยของทรัมป์สะท้อน "การเมืองเชิงอำนาจ" ที่เข้าข่ายการแทรกแซงซึ่งอาจส่งผลเสียในระยะยาว โดยทรัมป์มักใช้วิธีการเชิงรุกและอาศัยสถานะมหาอำนาจของสหรัฐเข้าบังคับคู่ขัดแย้งให้ทำข้อตกลงหยุดยิง แต่ข้อตกลงเหล่านี้ส่วนใหญ่มีลักษณะเพียงชั่วคราว และไม่ได้แก้ไขรากลึกของปัญหา ทั้งที่มีมูลเหตุมาจากมรดกทางประวัติศาสตร์หรือภัยคุกคามที่ดำรงอยู่
“แนวทางทางการทูตของเขาลดทอนความซับซ้อนของภูมิรัฐศาสตร์ให้เหลือเสมือนเพียงการวิวาทกันในสนามเด็กเล่น โดยไม่คำนึงถึงบริบททางประวัติศาสตร์หรือความอดทนเชิงยุทธศาสตร์ที่จำเป็นต่อการแก้ไขปัญหาพื้นฐาน” จางกล่าว พร้อมเสริมว่าทรัมป์ยึดหลักการว่า “อำนาจคือความยุติธรรม” โดยละเลยกฎเกณฑ์สากลและมักสร้างแรงกดดันขั้นสูงสุด เช่น การเก็บภาษีศุลกากร หากการเจรจาไม่คืบหน้า
ตั้งแต่กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทรัมป์ยกระดับการมีบทบาทเชิงแทรกแซงต่อข้อพิพาทระหว่างประเทศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยอ้างบทบาทตนเองในฐานะ “ตัวกลาง” เพื่อผลักดันการเจรจาสงบศึกในหลายภูมิภาค พร้อมกันนั้นเขายังแสดงความสนใจอย่างเปิดเผยต่อรางวัลโนเบลสันติภาพ
ศ. สือ อินหง (Shi Yinhong) คณาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยประชาชนจีน (Renmin University of China) ชี้ว่า ตัวอย่างล่าสุด ได้แก่ การบังคับให้เกิดการหยุดยิงระหว่างอินเดีย-ปากีสถานเมื่อเดือนพฤษภาคม ระหว่างอิสราเอล-อิหร่านเมื่อเดือนมิถุนายน และข้อพิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทยเมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาศัยอำนาจมหาศาลของสหรัฐประกอบกับความเด็ดขาด กดดัน และความไม่แน่นอนในสไตล์ทรัมป์
“ท้ายที่สุด ปัจจัยชี้ขาดคือ ‘อำนาจ’ ทั้งในระดับประเทศและระดับบุคคล สำหรับทรัมป์แล้ว พลังคือเงิน — และการใช้การบีบบังคับย่อมไม่อาจยืนยาวได้” สือกล่าว พร้อมวิจารณ์ว่าสหรัฐในปัจจุบันกลับแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอและไร้อิทธิพลเชิงเนื้อหาในการพัฒนาการเมืองระหว่างประเทศหลายกรณี
แม้ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งปีก่อน ทรัมป์ยืนยันว่า หากได้รับตำแหน่ง เขาจะ “ยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนภายใน 24 ชั่วโมง” แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่ปรากฏผลลัพธ์ เดิมทีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้พบหารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน (Vladimir Putin) ของรัสเซียที่รัฐอะแลสกา แต่ก็ไม่มีข้อตกลงเป็นรูปธรรม มีเพียงคำกล่าวอ้างของทรัมป์ว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องโดยหลักการเรื่องเเลกเปลี่ยนดินแดนและหลักประกันด้านความมั่นคงให้ยูเครน เขายังย้ำว่าจะกดดันประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelensky) ให้ยอมรับข้อตกลงสันติภาพ โดยก่อนได้พบยังขู่ใช้มาตรการคว่ำบาตรเศรษฐกิจต่อรัสเซียหากไม่บรรลุข้อตกลง
ในวันจันทร์นี้ เซเลนสกีมีกำหนดพบกับทรัมป์ที่ทำเนียบขาว โดยจะมีผู้นำสหภาพยุโรป (EU) ฝรั่งเศส และเยอรมนี เข้าร่วมเพื่อสร้างแนวร่วมในการเจรจาหาทางออกสงครามรัสเซีย-ยูเครน อย่างไรก็ดี การเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครนสามรอบในช่วงซัมเมอร์ยังไม่สามารถขยับแกนหลักของปัญหาได้
ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ Fox News หลังการประชุมสุดยอดกับปูตินว่า เขามีวิธีระงับสงครามผ่านการค้า “ถ้าเรามีการค้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย ผมก็จะบอกว่าเราจะไม่ทำข้อตกลงใด ๆ นอกจากคุณจะยอมทำสันติภาพ”
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจีนเตือนว่าการแทรกแซงของทรัมป์มีแนวโน้มยิ่งเพิ่มความตึงเครียด เช่น แถลงอัลติเมทัมเมื่อ 28 กรกฎาคมที่เรียกร้องให้รัสเซียยุติสงครามภายใน 10-12 วัน ซึ่งทำให้มอสโกตอบโต้รุนแรง ดมิทรี เมดเวเดฟ (Dmitry Medvedev) รองประธานคณะมนตรีความมั่นคงรัสเซีย เตือนว่า “ทุกคำขู่ ultimatum ใหม่ เป็นเส้นทางไปสู่สงคราม”
ทั้งนี้ ทรัมป์ยังคงขยายบทบาทไกล่เกลี่ยในหลายข้อพิพาท ล่าสุด 8 สิงหาคม เขาประกาศความสำเร็จในการไกล่เกลี่ยระหว่างอาเซอร์ไบจาน (Azerbaijan) กับอาร์เมเนีย (Armenia) ให้วางอาวุธยุติข้อพิพาทที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ในกรณีภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัคห์ โดยข้อตกลงดังกล่าวมอบสิทธิพัฒนาเส้นทางยุทธศาสตร์ Zangezur Corridor ให้สหรัฐใช้งานพิเศษเป็นเวลา 99 ปี ครอบคลุมเส้นทางรถไฟ ท่อส่งก๊าซน้ำมัน และสายเคเบิลไฟเบอร์ออปติกที่เชื่อมทั้งสองชาติ
หยาง อี้ว์หลง (Yang Yulong) นักวิจัยจากศูนย์วิจัย Belt and Road มหาวิทยาลัยหลานโจว ให้สัมภาษณ์กับสื่อ The Paper ของจีนว่า การรีแบรนด์เส้นทางดังกล่าวเป็น “Trump Route for International Peace and Prosperity” ถือเป็นการประกาศบทบาทสหรัฐในฐานะผู้เล่นภูมิรัฐศาสตร์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในภูมิภาคนี้
ส่วนกรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ทรัมป์ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียขู่จะระงับการเจรจาการค้าและขึ้นภาษีศุลกากร 36% หากทั้งสองฝ่ายไม่ยุติการสู้รบ โดยท้ายที่สุดมีการบรรลุหยุดยิง แต่พื้นฐานความขัดแย้งยังไม่ถูกแก้ไข กัมพูชากล่าวหาว่ากองกำลังไทยติดตั้งรั้วลวดหนามและยางรถในหมู่บ้านชายแดน ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง
นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต (Hun Manet) ของกัมพูชา ได้เสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบลสันติภาพ อ้างถึงบทบาทนายหน้าหยุดยิงในข้อพิพาทดังกล่าวเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ขณะที่ปากีสถานประกาศในเดือนมิถุนายนว่าจะเสนอชื่อฐานะผู้มีบทบาทลดความตึงเครียดกับอินเดีย ด้านนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) เดือนก่อนก็ประกาศว่าตนได้ยื่นเสนอชื่อทรัมป์เช่นกัน
รางวัลโนเบลสันติภาพซึ่งถือเป็นเกียรติสูงสุดทางสันติวิธีในเวทีโลก มอบแก่บุคคลหรือองค์กรที่มีผลงาน “ส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างประเทศ” อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจีนชี้ว่าการเคลื่อนไหวของทรัมป์ยังสะท้อนความย้อนแย้ง เพราะในสุนทรพจน์ที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก West Point เมื่อปี 2020 เขายืนยันหนักแน่นว่า “ไม่ใช่ภารกิจของทหารสหรัฐที่จะเข้าไปแก้ไขข้อพิพาทดินแดนโบราณในพื้นที่ห่างไกล เราไม่ใช่ตำรวจของโลก”
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/news/china/diplomacy/article/3322166/trump-being-put-forward-nobel-peace-prize-so-he-must-be-top-mediator-right?module=top_story&pgtype=homepage