รัสเซียรุกทดสอบ ขีดจำกัดระบบป้องกันขีปนาวุธสหรัฐฯ

รัสเซียรุกทดสอบ ขีดจำกัดระบบป้องกันขีปนาวุธสหรัฐฯ จากเคียฟถึงไต้หวัน! Patriot สกัดได้เพียง 1/7
19-8-2025
Asia Times รายงานว่า สถานการณ์สงครามในยูเครนกำลังเผยจุดอ่อนใหม่ในระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯและพันธมิตร ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทั่วโลก ตั้งแต่เกาหลีใต้ถึงไต้หวัน สหรัฐฯและพันธมิตรกำลังเผชิญกับการทดสอบศักยภาพแบบเต็มที่ในการสกัดขีปนาวุธรุ่นใหม่ที่เหนือชั้นทั้งด้านความเร็วและความคล่องตัว
ตามรายงานจากสำนักงานผู้ตรวจการพิเศษของสหรัฐฯ (Special Inspector General) ระบบป้องกันทางอากาศของยูเครน ได้แก่ Patriot ที่ได้รับจากสหรัฐฯ พบปัญหาในการรับมือขีปนาวุธรัสเซียที่ประยุกต์ใช้วิถีการบินซับซ้อน รวมถึงการปรับเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศและหลบหลีกระหว่างทาง หลายครั้งขีปนาวุธเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องบินในเส้นวิถีดั้งเดิม ทำให้โอกาสสกัดกั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อ 28 มิถุนายน การโจมตีโดยขีปนาวุธรัสเซียในยูเครน ยูเครนสกัดได้เพียง 1 จาก 7 ลูก และเมื่อ 9 กรกฎาคม ซึ่งเป็นการโจมตีที่เข้มข้นที่สุดตั้งแต่สงครามเริ่มมา สามารถสกัดได้หรือทำลายเพียง 7 จาก 13 ลูก ปัญหานี้ซ้ำเติมด้วยกลยุทธ์ส่งจรวด–โดรนจำนวนมากพร้อมกัน สร้างภาระให้ระบบรับมือจนขาดกำลัง
ที่สำคัญ ข้อจำกัดนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องสงครามยูเครน แต่เชื่อมโยงไปถึงภัยคุกคามในอินโดแปซิฟิก เกาหลีเหนือและจีนต่างเร่งพัฒนาขีปนาวุธอุปกรณ์คล้ายกัน ทั้งจรวดระยะสั้น KN-23, KN-24, KN-25 ของเกาหลีเหนือที่มีการเปลี่ยนวิถีการบิน–ลดความสามารถในการสกัด และทยอยเสริมกำลังการผลิตเชื้อเพลิงแข็ง–รถยิงจรวด (TEL) ในระดับอุตสาหกรรม
รายงานล่าสุดเผยว่า รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธเกาหลีเหนือเข้ายูเครนตั้งแต่ธันวาคม 2023 ความแม่นยำของระบบนี้พัฒนาจาก CEP 1–3 กม. เหลือเพียง 50–100 เมตรในต้นปี 2025 ความสามารถเหล่านี้หมายความว่า ในสถานการณ์วิกฤตเกาหลีใต้และญี่ปุ่นอาจถูกโจมตีโดยขีปนาวุธที่สกัดกั้นได้ยาก
ด้านไต้หวันต้องรับมือภัยนี้ด้วยงบจำกัด มีแบตเตอรี่ Patriot Advanced Capability (PAC) และ Tien Kung ทั้งหมดเพียง 21 ชุด แต่มีขีปนาวุธ PAC-3 CRI ราว 380 ลูก กับ PAC-3 MSE ที่มีกำหนดรับมอบจำกัด ด้านกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ของจีนมี SRBM, ALBM และจรวดนำวิถีหลายร้อยลูก สามารถบุกทะลวงแนวป้องกันไต้หวันได้อย่างรวดเร็ว
การใช้ขีปนาวุธประเภท Surface-to-Air (SAM) เพื่อโจมตียานยนต์บินและจรวดไปพร้อมกัน ส่งผลให้คลังขีปนาวุธหลักยิ่งหมดไว การพึ่งพาอาวุธราคาแพงในการสกัดภัยราคาถูกยิ่งเร่งกำลังการผลิตให้ไม่ทันสถานการณ์
The War Zone รายงานในเดือนกรกฎาคม 2025 ว่ากองทัพบกสหรัฐฯมีหน่วย Patriot ที่พร้อมใช้งานจริงเพียง 14 กองพัน ต้องผลัดเปลี่ยนกำลังในหลายภูมิภาคทั่วโลก ทำให้หน่วยในอินโดแปซิฟิกเหลือเพียง 3 กองพัน และการโยกย้ายยูนิตไปตะวันออกกลางเผยจุดอ่อนด้านกำลังสำรองในเกาหลีใต้และญี่ปุ่น
แม้อุตสาหกรรมสหรัฐฯ – Lockheed Martin และ Raytheon – เร่งผลิต PAC-3 MSE และ GEM-T ให้ทันความต้องการ แต่รายงานจาก Business Insider ระบุว่ากำลังการผลิตอาจยังไม่เพียงพอกับภัยคุกคามระดับโลก แม้ผลิตได้ 1,130 ลูกในปี 2027 ก็อาจยังไม่พอรับมือกรณีสงครามรุนแรง
เพื่อแก้ไขข้อจำกัดนี้ สหรัฐฯอาจต้องปรับลดข้อจำกัดการส่งออก เปิดช่องทางให้พันธมิตรมีระบบป้องกันพึ่งพาตนเองมากขึ้น ญี่ปุ่นมี Type 03 Chu-SAM ที่สามารถขยายสเกลด้วยเงินทุน–เทคโนโลยีสหรัฐฯ เกาหลีใต้พร้อมใช้งาน KM-SAM ที่อาจพึ่งพาได้ ขณะที่ไต้หวันยังติดปัญหาความสัมพันธ์กับจีน
ทั้งนี้ สหรัฐฯและพันธมิตรเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น อาวุธเลเซอร์ พลังไมโครเวฟ และปืนราง (railguns) เพื่อเสริมแนวรับขีปนาวุธ แต่ยังต้องใช้เวลากว่าจะนำมาติดตั้งจริงในสนามรบ
ภาพรวมสถานการณ์ปัจจุบันภัยขีปนาวุธขยายตัวจากยุโรป ตะวันออกกลางถึงอินโดแปซิฟิก ระบบรับมือที่พัฒนาในยูเครนจึงเป็นต้นแบบปัญหาที่อาจลามถึงพันธมิตรสหรัฐฯทั่วโลก หากวอชิงตันไม่เร่งขยายกำลังผลิต สร้างความร่วมมือด้านเทคโนโลยี และเพิ่มขีดความสามารถพันธมิตรในระยะเวลาอันใกล้ ภัยขีปนาวุธในสามแนวรบจะยิ่งกดทดสอบขีดจำกัดยุทธศาสตร์สหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/08/russias-missile-salvoes-stretch-us-defenses-from-kyiv-to-taipei/