ขอบคุณภาพจาก Sputnik
12.10.2024
บริษัท Raytheon ผู้จัดหาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้กองทัพสหรัฐฯ และเป็นผู้ผลิตขีปนาวุธนำวิถีรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ทำกำไรจากการขายยุทโธปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสงครามยูเครน จากที่เคยประสบปัญหาด้านยอดขายจนกระทั่งความขัดแย้งในยูเครนเริ่มต้นขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ตามการวิเคราะห์ของผู้สื่อข่าว Sputnik เกี่ยวกับรายงานผลประกอบการของบริษัทแห่งนี้
Raytheon Missiles & Defense (RMD) บริษัทในเครือที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตขีปนาวุธภายใต้ RTX Corporation ได้ผลิตระบบขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศ (NASAMS) ให้กับยูเครนโดยตรง ขณะที่ขีปนาวุธ Stinger และ Javelin ที่ผลิตโดยบริษัทได้ถูกส่งไปยังพื้นที่ขัดแย้งแห่งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2022 ในฐานะผู้ผลิตระบบป้องกันภัยทางอากาศ เช่น Patriot และขีปนาวุธที่ใช้ในระบบดังกล่าว RMD ได้รับคำสั่งซื้อใหม่สำหรับระบบขีปนาวุธเหล่านี้ หลังจากที่ประเทศตะวันตกอื่น ๆ ส่งอาวุธดังกล่าวให้กับยูเครน
รัสเซียได้กล่าวหลายครั้งว่าการส่งอาวุธให้ยูเครนทำให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงมากขึ้น และประเทศสมาชิกนาโต้ก็เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงด้วย โดยรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียได้กล่าวว่าการขนส่งทุกประเภทที่บรรจุอาวุธให้ยูเครนจะกลายเป็นเป้าหมายทางการโจมตีของรัสเซีย สหรัฐฯและนาโต้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในความขัดแย้งนี้ ซึ่งไม่เพียงแต่การจัดหาอาวุธเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฝึกอบรมบุคลากรด้วย
รายงานผลประกอบการล่าสุดของบริษัทระบุว่า Raytheon มียอดขายเติบโตติดต่อกันห้าไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาสที่สี่ของปี 2022 หลังจากที่ต้องดิ้นรนกับยอดขายที่ลดลงติดต่อกันสี่ไตรมาสก่อนหน้านั้น
รายละเอียดจากรายงานผลประกอบการของบริษัท Raytheon แสดงให้เห็นว่า บริษัทนี้สร้างรายได้หลายพันล้านดอลลาร์จากการที่สหรัฐคอยให้ความช่วยเหลือทางทหาร ต่อยูเครนอย่างต่อเนื่อง และพลิกโอกาสทางธุรกิจจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาใหม่
สัญญาซื้อขายอาวุธที่ลงนามแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์ของ Raytheon ยังขยายตัวจาก 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (2.2 ล้านล้านบาท) เมื่อสิ้นปี 2021 เป็น 7.7 หมื่นล้านดอลลาร์ (2.5 ล้านล้านบาท) เมื่อสิ้นไตรมาสที่สองของปีนี้ เดิมที คำสั่งซื้อใหม่ของ RMD เริ่มซบเซาตั้งแต่ไตรมาสที่สี่ของปี 2021 โดยลดลง 8% เมื่อเทียบปีต่อปี แล้วภายในไตรมาสที่สองของปี 2022 RMD ก็ประสบกับยอดขายลดลงเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกัน โดยลดลง 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
แต่คำสั่งซื้อใหม่ของ RMD ในไตรมาสที่สองของปี 2022 เริ่มแสดงสัญญาณของความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น หลังจากความขัดแย้งทางทหารในยูเครนทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงต้นปี 2022
ยอดขายใหม่มูลค่า 3,560 ล้านดอลลาร์ (1.1 แสนล้านบาท) ของ RMD ในไตรมาสที่สองของปี 2022 ประมาณ 662 ล้านดอลลาร์ (2.2 หมื่นล้านบาท) หรือ 18.6% มาจากการจัดหาขีปนาวุธ Stinger ให้กับกองทัพสหรัฐ ในช่วงแรกของความขัดแย้งทางทหารในยูเครน สหรัฐได้ส่งขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน Stinger มากกว่า 1,000 ลูกไปให้ยูเครน RMD ได้สัญญานี้ในเดือนพฤษภาคม 2022
ในไตรมาสที่สี่ของปี 2022 คำสั่งซื้อใหม่มาจากความต้องการขีปนาวุธที่เพิ่มขึ้นของยูเครนทำให้ RMD มียอดขายเติบโตขึ้น 6% เมื่อเทียบเป็นปีต่อปี หลังจากที่ยอดขายเคยลดลงติดต่อกันสี่ไตรมาส
ข้อตกลงมูลค่า 698 ล้านดอลลาร์ (2.3 หมื่นล้านบาท) สำหรับระบบขีปนาวุธ NASAMS ที่ให้ยูเครนคิดเป็นประมาณ 17% ของยอดขายใหม่มูลค่า 4,100 ล้านดอลลาร์ (1.3 แสนล้านบาท) ของ RMD ในไตรมาสที่สี่ของปี 2022 แล้วในไตรมาสต่อมา คำสั่งซื้อขีปนาวุธใหม่ก็ยังคงไหลมาที่ RMD เมื่อกองทัพสหรัฐฯ ส่งขีปนาวุธเพิ่มเติมไปยังยูเครน
เมื่อเดือนมิถุนายน 2023 RMD ได้รับสัญญามูลค่า 1,150 พันล้านดอลลาร์ (3.8 หมื่นล้านบาท) ให้ผลิตขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยกลาง AIM-120 D-3 และ C-8 ซึ่งเป็นสัญญาการผลิตอาวุธประเภทนี้ ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา คาดว่าข้อตกลงนี้จะจัดหาขีปนาวุธให้กับ 18 ประเทศ รวมถึงยูเครนด้วย คิดเป็น 28.8% ของยอดขายใหม่ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของ RMD ในไตรมาสที่ 2 ปี 2023
แม้ว่า RTX จะตัดสินใจควบรวม RMD กับ Raytheon Intelligence & Space ในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2023 แต่ข้อกำหนดการผลิตขีปนาวุธใหม่ที่เกิดจากความขัดแย้งทางทหารในยูเครนยังคงผลักดันให้ยอดขายของบริษัทเติบโต
ในไตรมาส 4 ปี 2023 การผลิตขีปนาวุธ Guidance Enhanced Missile (GEM-T) มูลค่า 2,800 ล้านดอลลาร์ (9.3 หมื่นล้านบาท) คิดเป็น 40% ของยอดขายใหม่รายไตรมาสมูลค่า 6,900 ล้านดอลลาร์ (2.3 แสนล้านบาท) ของบริษัทลูกที่เพิ่งควบรวมกิจการซึ่งรู้จักกันในชื่อ Raytheon ภายใต้ RTX ขีปนาวุธ GEM-T เป็นส่วนสำคัญของขีปนาวุธที่ใช้ในระบบป้องกันภัยทางอากาศ Patriot
หลังจากเยอรมนีส่งระบบ Patriot ของตัวเองไปให้ยูเครน เยอรมนีก็ต้องสั่งซื้ออาวุธใหม่จาก Raytheon ในปีนี้ โดยเยอรมนีได้ลงนามสัญญาซื้อระบบ Patriot ชุดใหม่ครั้งแรกในเดือนมีนาคม และคำสั่งซื้อใหม่นี้ มีมูลค่า 1,200 ล้านดอลลาร์คิดเป็นประมาณ 18% ของยอดขายใหม่ 6,700 ล้านดอลลาร์ของ Raytheon ในไตรมาสแรกของปีนี้ และในเดือนกรกฎาคม เยอรมนีได้ลงนามในสัญญาฉบับใหม่กับ Raytheon เพื่อซื้อระบบ Patriot เพิ่มเติม ซึ่งมีมูลค่า 1,200 ล้านดอลลาร์เช่นกัน
นอกเหนือจากคำสั่งซื้อใหม่สำหรับระบบ Patriot แล้ว Javelin Joint Venture ซึ่งก่อตั้งโดย Raytheon ร่วมกับ Lockheed Martin ยังได้รับสัญญาการผลิตมูลค่ารวม 1,300 ล้านดอลลาร์ (4.3 หมื่นล้านบาท) จากกองทัพบกสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคมอีกด้วย
หลังจากที่สหรัฐฯ ส่งขีปนาวุธต่อต้านรถถัง Javelin หลายพันลูกไปยังยูเครนแล้ว Javelin Joint Venture ก็ได้รับมอบหมายให้เร่งการผลิตเพื่อเติมเต็มคลังอาวุธให้กองทัพสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายที่จะผลิตขีปนาวุธ Javelin ให้ได้ 3,960 ลูกต่อปีภายในปลายปี 2026
การวิเคราะห์โดยบริษัทวิจัยตลาด Vertical Research Partners คาดการณ์ว่า ผู้จัดหาผลิตภัณฑ์และบริการให้กองทัพสหรัฐ ยักษ์ใหญ่ 5 อันดับแรกของสหรัฐฯ จะมีกระแสเงินสดหมุนเวียนเข้ามา 26,000 ล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2026 ตามรายงานของ Financial Times เมื่อเดือนสิงหาคม นอกจากการทำกำไรจากความขัดแย้งทางการทหารในยูเครนแล้ว Raytheon ยังได้รับประโยชน์จากการที่สหรัฐ ไปสนับสนุนทางการทหารต่ออิสราเอลอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นในตะวันออกกลาง
By IMCT NEWS