อิหร่านใช้สิทธิชอบธรรมในการป้องกันตนเอง

อิหร่านใช้สิทธิชอบธรรมในการป้องกันตนเอง รัฐมนตรีต่างประเทศอารักชี กล่าวกับคู่เจรจายุโรป
21-6-2025
การประชุมระดับสูงคร้ังแรกสำหรับปัญหาสงครามอิสราเอลกับอิหร่านระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน อับบาส อารักจี กับรัฐมนตรีต่างประเทศจากกลุ่ม E3 และหัวหน้านโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป ได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดการประชุมอีกครั้งในอนาคตอันใกล้
การเจรจาครั้งนี้จัดขึ้นที่นครเจนีวา และกินเวลานานเกือบ 3 ชั่วโมงครึ่ง ตามรายงานข่าว
อารักจี พร้อมคณะนักการทูตอาวุโส ได้หารือร่วมกับ คายา คัลลาส หัวหน้านโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป, โยฮัน วาเดอฟุล รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี, เดวิด แลมมี รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ และ ฌ็อง-โนแอล บาโรต์ รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส โดยเนื้อหาการเจรจาเน้นไปที่อนาคตของข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านปี 2015 หรือที่รู้จักกันในชื่อ แผนปฏิบัติการร่วม (JCPOA)
การประชุมจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติในยุโรป โดยมีขึ้นตามคำร้องขอของสามประเทศยุโรปที่เป็นภาคีของ JCPOA หลังจบการเจรจา อารักจีให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ตราบใดที่ อิสราเอลยังคงรุกรานอิหร่าน เตหะรานจะไม่เจรจากับฝ่ายใดทั้งสิ้น
เขาระบุว่า ระบอบการปกครองของอิสราเอลต้องยุติการรุกรานและอาชญากรรมต่อประชาชนชาวอิหร่าน และกล่าวเพิ่มเติมว่า หากยังไม่เกิดขึ้น จะไม่มีการเจรจากับฝ่ายใดทั้งสิ้น “อิหร่านจะยังคงใช้สิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง” อารักจีกล่าว พร้อมแสดงความ “วิตกกังวลอย่างลึกซึ้ง” เกี่ยวกับการที่ประชาคมโลกไม่ออกมาประณามการรุกรานอันโหดร้ายของอิสราเอล
เขาย้ำว่า โครงการนิวเคลียร์ของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านมีวัตถุประสงค์เพื่อสันติเท่านั้น และยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) อารักจีระบุเพิ่มเติมว่า อิหร่าน สนับสนุนการเจรจาอย่างต่อเนื่องกับสามประเทศยุโรปและสหภาพยุโรป และพร้อมสำหรับการหารือรอบใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้
ในถ้อยแถลงที่ละเอียดมากขึ้นในภายหลัง รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านกล่าวว่า ในการประชุมเมื่อวันศุกร์ อิหร่านได้แสดงความกังวลอย่างจริงจังเกี่ยวกับความเพิกเฉยของสามประเทศยุโรปในการประณามการรุกรานของอิสราเอล
มีการเน้นย้ำว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านจะเดินหน้าปกป้องสิทธิในการป้องกันตนเองต่อระบอบดังกล่าวอย่างจริงจังและเด็ดขาด เพื่อยุติการรุกรานและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต มีการเน้นย้ำในการประชุมว่า โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านมีวัตถุประสงค์เพื่อสันติ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ดังนั้น การโจมตีสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่านซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อสันติ จึงถือเป็น อาชญากรรมและการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ในแถลงการณ์ระบุว่า: “ในประเด็นนี้ มีการแสดงความกังวลและคำตำหนิอย่างรุนแรงต่อการที่สามประเทศยุโรปและสหภาพยุโรปไม่ออกมาประณามการโจมตีเหล่านี้” “หากการรุกรานยุติลง และผู้รุกรานถูกนำตัวมารับผิดในอาชญากรรมที่ได้ก่อไว้ อิหร่านก็พร้อมที่จะพิจารณาแนวทางทางการทูต”
ในเรื่องนี้ อารักจีย้ำอย่างชัดเจนและโปร่งใสว่า “ขีดความสามารถด้านการป้องกันของอิหร่าน ไม่ใช่ประเด็นที่จะถูกนำมาเจรจาได้” ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน อารักจีได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุม คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ โดยกล่าวว่า
“อิหร่านมีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดน อธิปไตย และความมั่นคงของชาติด้วยทุกวิถีทาง”
เขาเน้นย้ำว่า“ประชาคมโลก ทุกประเทศ ทุกกลไก และสถาบันขององค์การสหประชาชาติ ควรตระหนักถึงสถานการณ์ในขณะนี้ และต้องดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อหยุดผู้รุกราน ยุติความลอยนวล และนำอาชญากรที่ก่อเหตุรุนแรงอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคของเรา มารับผิดชอบ”
“คำเรียกร้องนี้มาจากผู้ที่อุทิศชีวิตให้กับการเจรจาและการทูตมาโดยตลอด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นทหารผ่านศึกจากสงครามที่ระบอบซัดดัมบีบบังคับ และรู้ดีว่าการปกป้องมาตุภูมินั้นหมายถึงอะไร”
ที่มา Press TV