.

การประท้วงรุนแรงในเนปาลจุดกระแสถกเถียง: ความไม่พอใจภายในหรืออิทธิพลจากภายนอก?
24-9-2025
การประท้วงอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นล่าสุดในเนปาล ซึ่งนำไปสู่การลาออกของนายกรัฐมนตรีชาร์มา โอลิ ได้จุดกระแสการถกเถียงว่า ต้นตอของความไม่สงบครั้งนี้มาจากความไม่พอใจภายในประเทศ หรือเป็นผลจากแรงกระตุ้นภายนอก โอลิ ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับปักกิ่งมาอย่างยาวนาน เพิ่งเดินทางกลับจากการเยือนจีนอย่างเป็นทางการ เมื่อกรุงกาฐมาณฑุปะทุด้วยการประท้วง ผู้ประท้วงไม่พอใจต่อการทุจริตและปัญหาการว่างงานเป็นหลัก แต่หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า ความวุ่นวายนี้มีเป้าหมายเพื่อลดทอนอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีนในสาธารณรัฐหิมาลัยแห่งนี้หรือไม่
เนปาลเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ระหว่างสองมหาอำนาจ — อินเดียและจีน ขนาดของประเทศอาจเล็ก แต่ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของเนปาลทำให้มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์เกินกว่าขนาดประชากรหรือเศรษฐกิจ โดยตั้งอยู่บนแนวพรมแดนหิมาลัย เนปาลจึงทำหน้าที่เป็นรัฐกันชนที่ทรงคุณค่าสำหรับทั้งนิวเดลีและปักกิ่ง สำหรับจีน เนปาลคือช่องทางขนส่งทางบกเข้าสู่เอเชียใต้ ตั้งอยู่ใกล้กับภูมิภาคที่อ่อนไหวของซีจ้าง (ทิเบต) และเป็นหุ้นส่วนในด้านการจัดการน้ำ พลังงานไฟฟ้าพลังน้ำ และการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจัยเหล่านี้อธิบายได้ว่าทำไมจีนจึงลงทุนในการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับกาฐมาณฑุมาตลอดหลายทศวรรษ และเหตุใดจีนจึงจับตาความไม่มั่นคงในเนปาลอย่างใกล้ชิด
เนปาลและจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตครั้งแรกในปี 1955 โดยยึดหลัก “ห้าประการแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ” (Five Principles of Peaceful Coexistence) ซึ่งเป็นกรอบการทูตเดียวกับที่ใช้ในข้อตกลงจีน-อินเดียเมื่อปี 1954 เพียงห้าปีต่อมา เนปาลก็กลายเป็นประเทศเพื่อนบ้านชาติแรกที่ลงนามในข้อตกลงเขตแดนกับจีน ความร่วมมือในช่วงต้นเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดคือการก่อสร้างทางหลวงอารานิโก (Araniko Highway) ในทศวรรษ 1960 ซึ่งเชื่อมต่อกรุงกาฐมาณฑุกับพรมแดนจีนในเขตซีจ้าง
เมื่อเวลาผ่านไป จีนได้ขยายบทบาททางเศรษฐกิจในเนปาลอย่างต่อเนื่อง ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ปักกิ่งกลายเป็นคู่ค้าอันดับสองของเนปาล รองจากอินเดีย ข้อตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าในปี 2016 ซึ่งเปิดทางให้เนปาลใช้ท่าเรือของจีน ถือเป็นก้าวสำคัญที่ลดการพึ่งพาอินเดียของกรุงกาฐมาณฑุ ในปีถัดมา เนปาลเข้าร่วมโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะเชื่อมอนาคตของการพัฒนาประเทศเข้ากับโครงการเชื่อมต่อระดับภูมิภาคของจีน และในปี 2019 ทั้งสองประเทศได้ยกระดับความสัมพันธ์สู่ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ แม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะชะลอความคืบหน้าไปบ้าง แต่โมเมนตัมก็กลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่ชาร์มา โอลิ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างจีนกับเนปาลพัฒนาถึงจุดสูงสุดในการเยือนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีโอลิในเดือนธันวาคม 2024 ต่อมา ผู้นำเนปาลได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organisation) ที่เมืองเทียนจิน และชมขบวนพาเหรดทางทหารเนื่องในวันแห่งชัยชนะของจีนที่กรุงปักกิ่ง สัญลักษณ์แห่งการเยือนครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้มาไกลเพียงใด อย่างไรก็ตาม เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น โอลิกลับเผชิญกับวิกฤติทางการเมืองในประเทศ เมื่อการประท้วงปะทุขึ้นทั่วกรุงกาฐมาณฑุและนำไปสู่การลาออกของเขาเมื่อวันที่ 9 กันยายน — ซึ่งบังเอิญตรงกับวันครบรอบการเสียชีวิตของเหมา เจ๋อตง
เพื่อทำความเข้าใจผลประโยชน์ที่แต่ละฝ่ายได้จากความสัมพันธ์นี้ จำเป็นต้องพิจารณาว่าเนปาลต้องการอะไรจากจีน และจีนในทางกลับกันคาดหวังอะไรจากกาฐมาณฑุ
สำหรับเนปาล ความต้องการนั้นชัดเจน — ผู้นำเนปาลมักยกย่องความสำเร็จของจีนในการลดความยากจนและการพัฒนาเศรษฐกิจสมัยใหม่เป็นต้นแบบที่ควรเอาเยี่ยงอย่าง เนปาลมุ่งหวังที่จะใช้เทคโนโลยี การลงทุน และประสบการณ์ของจีนเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมของตนเอง โครงสร้างพื้นฐานคือสิ่งที่ถูกให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก: ถนน รถไฟ สนามบิน และสายส่งไฟฟ้า
นอกเหนือจากการคมนาคม เนปาลยังต้องการความร่วมมือในด้านโทรคมนาคม เขตเศรษฐกิจพิเศษ เกษตรกรรม การดูแลสุขภาพ การศึกษา และการท่องเที่ยว โครงการหลักที่เป็นสัญลักษณ์คือ เครือข่ายการเชื่อมต่อพหุมิติข้ามเทือกเขาหิมาลัย (Trans-Himalayan Multi-Dimensional Connectivity Network) ที่ตกลงกันในปี 2022 โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นการศึกษาความเป็นไปได้ภายในปี 2026 หากโครงการนี้เกิดขึ้นจริง จะช่วยผนวกเนปาลเข้ากับยุทธศาสตร์การพัฒนาของจีน และเครือข่าย BRI ในระดับภูมิภาคได้อย่างลึกซึ้ง
ในมุมมองของจีน เนปาลให้ทั้งประโยชน์เชิงปฏิบัติและเชิงยุทธศาสตร์
ในด้านการเมือง เนปาลยึดมั่นในหลัก “จีนเดียว” มาโดยตลอด และได้จำกัดกิจกรรมต่อต้านปักกิ่งที่เชื่อมโยงกับเขตซีจ้าง (ทิเบต) ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในสายตาของจีน ด้านเศรษฐกิจ ทรัพยากรพลังงานน้ำและระบบแม่น้ำของเนปาลมีความสำคัญในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในบริบทของการจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน ในเชิงยุทธศาสตร์ จีนต้องการให้เนปาลเป็นรัฐกันชนที่มีเสถียรภาพ วางตัวเป็นกลาง และไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด มากกว่าจะเอนเอียงไปทางอินเดียหรือชาติตะวันตก ซึ่งตรงจุดนี้เองที่กลายเป็นความท้าทายสำคัญ
ความไม่มั่นคงทางการเมืองในเนปาลถือเป็นปัญหาเรื้อรังมาช้านาน ตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ประเทศเผชิญกับความปั่นป่วนอย่างต่อเนื่อง สงครามกลางเมืองระหว่างกลุ่มคอมมิวนิสต์และกษัตริย์ในช่วงปี 1996–2006 ได้ทิ้งรอยแผลลึกไว้ แม้สถาบันกษัตริย์จะถูกยกเลิกในภายหลัง แต่วิกฤติทางการเมืองก็ยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 2015 และความล้มเหลวในการบริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง ล้วนส่งผลให้เกิดสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่เปราะบาง รัฐบาลเปลี่ยนมือบ่อยครั้ง และการเมืองแบบแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทำให้การตัดสินใจเชิงนโยบายติดขัด สำหรับปักกิ่ง ความไม่มั่นคงเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นอุปสรรคต่อโครงการระยะยาว แต่ยังเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงหากความวุ่นวายลุกลามเข้าสู่เขตชายแดน
การประท้วงล่าสุดของเนปาล: วิกฤติของคนรุ่นใหม่กับผลสะเทือนทางภูมิรัฐศาสตร์
การประท้วงครั้งล่าสุดในเนปาลเกิดจากความไม่พอใจอย่างกว้างขวางของคนรุ่นใหม่ การลุกฮือของ “เจเนอเรชัน Z” ของเนปาลมีรากเหง้ามาจากความโกรธแค้นต่อการทุจริต ระบบอุปถัมภ์ ความไม่เป็นธรรม และอัตราการว่างงานที่สูง อำนาจทางการเมืองยังคงกระจุกตัวอยู่ในมือของผู้นำไม่กี่คนจาก 3 พรรคหลัก ได้แก่ พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (มาร์กซิสต์-เลนินนิสต์เอกภาพ), พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (ศูนย์กลางลัทธิเหมา) และพรรคนปาลีคองเกรส (แนวสังคมประชาธิปไตย) คนหนุ่มสาวมองไม่เห็นอนาคตของผู้นำรุ่นใหม่หรือโอกาสที่แท้จริง ความผิดหวังจึงปะทุออกมาเป็นการประท้วงบนท้องถนน
แม้ข้อเรียกร้องเหล่านี้จะเป็นประเด็นภายในประเทศเป็นหลัก แต่ภูมิรัฐศาสตร์ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ สถานทูตตะวันตกหลายแห่ง นำโดยสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเห็นใจต่อผู้ประท้วงอย่างรวดเร็ว นักวิจารณ์ในกาฐมาณฑุบางรายชี้ว่า มีบทบาทของ “ชนชั้นนายทุนในประเทศ” ที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายข้ามชาติ ซึ่งอาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดความไม่สงบ
อย่างไรก็ดี การมองว่าการประท้วงครั้งนี้เป็นเพียงขบวนการต่อต้านจีนคงเป็นการวิเคราะห์ที่ง่ายเกินไป ผู้ประท้วงจำนวนมากไม่ได้ต่อต้านท่าทีที่โอนเอียงไปทางจีนของโอลิโดยตรง แต่ต่อต้านระบบการเมืองที่ฝังรากลึกซึ่งเขาเป็นตัวแทน อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าเหตุการณ์นี้นำไปสู่การลาออกของผู้นำที่เพิ่งกระชับความสัมพันธ์กับปักกิ่ง ก็ย่อมทำให้จีนและพันธมิตรในยูเรเซียตั้งข้อสงสัย
ในบริบทของความไม่มั่นคงทั่วภูมิภาค — ตั้งแต่สงครามกลางเมืองในเมียนมา ความตึงเครียดระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน สถานการณ์ในบังกลาเทศ ไปจนถึงความไม่แน่นอนในอัฟกานิสถาน — จีนตระหนักอย่างยิ่งว่า วิกฤติในท้องถิ่นสามารถถูกฉวยโอกาสเพื่อบ่อนทำลายสถานะเชิงยุทธศาสตร์ของตนได้ง่ายเพียงใด
หลังจากโอลิลาออก ปักกิ่งตอบสนองอย่างระมัดระวังแต่ในเชิงบวกต่อการแต่งตั้งนางสุศีลา การ์กี เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ ซึ่งจะบริหารประเทศจนกว่าจะมีการเลือกตั้งฉุกเฉินในเดือนมีนาคม 2026 จีนแสดงความยินดีกับการ์กี และแสดงความพร้อมที่จะเดินหน้าความร่วมมือในหลายด้าน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า การเปลี่ยนแปลงผู้นำครั้งนี้ไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างเนปาลกับจีน โครงการและการลงทุนที่เริ่มต้นไปแล้วน่าจะเดินหน้าต่อไป อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือปัญหาความไม่มั่นคงเรื้อรังของเนปาล ซึ่งทำให้การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ของจีนในภูมิภาคเอเชียใต้มีความซับซ้อนมากขึ้น
สำหรับปักกิ่ง ความมั่นคงของเนปาลไม่ใช่เพียงการปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่รวมถึงการรักษาเสถียรภาพของชายแดนหิมาลัย และการป้องกันไม่ให้กาฐมาณฑุเอนเอียงไปทางอิทธิพลของชาติตะวันตกหรืออินเดีย ดุลอำนาจยังเปราะบาง เนื่องจากการค้าระหว่างประเทศของเนปาลยังคงพึ่งพาอินเดียเป็นหลัก ด้วยเหตุผลด้านภูมิศาสตร์และข้อตกลงทางการค้าที่ยาวนาน อินเดียยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดและแหล่งการลงทุนหลักของเนปาล
ในทางกลับกัน แม้โครงข่ายการค้ากับจีนจะยังพัฒนาไม่มากนัก แต่ก็เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การส่งออกและนำเข้าสินค้าระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จุดผ่านแดนใหม่และเที่ยวบินตรงช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อ ขณะที่นักวิจารณ์ที่กังวลเกี่ยวกับ “กับดักหนี้จีน” ในเนปาล อาจมองข้ามข้อเท็จจริงสำคัญไป: ณ ปี 2024 หนี้ต่างประเทศของเนปาลที่เป็นหนี้จีนมีเพียง 2.82% เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าหนี้ที่เนปาลมีต่ออินเดียหรือญี่ปุ่น
ศักยภาพของความเป็นหุ้นส่วนระหว่างเนปาล-จีนยังคงสูง แต่ความเสี่ยงก็มีอยู่จริงไม่แพ้กัน
สำหรับจีน เนปาลคือทั้งโอกาสและจุดเปราะบาง — เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ความร่วมมือสามารถผลักดันเป้าหมายด้านการเชื่อมต่อและการพัฒนาของปักกิ่งได้ แต่ในขณะเดียวกัน ความเปราะบางของเนปาลก็อาจกลายเป็นช่องทางให้เกิดการแทรกแซงจากภายนอก
เหตุการณ์ความไม่สงบล่าสุดในกรุงกาฐมาณฑุเป็นเครื่องเตือนใจถึงการที่ความไม่พอใจในประเทศ การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่มั่นคงทางประวัติศาสตร์ในเทือกเขาหิมาลัยสามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างแนบแน่น ในขณะนี้ เนปาลยังคงยืนยันในจุดยืนไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และพยายามรักษาความสมดุลระหว่างความสัมพันธ์กับอินเดียและจีน คำถามสำคัญคือ เนปาลจะสามารถรักษาสมดุลนี้ไว้ได้หรือไม่ ในขณะที่ต้องรับมือกับข้อเรียกร้องของเยาวชนที่ไม่พอใจและแรงกดดันจากภายนอก
คำตอบของคำถามนี้จะไม่เพียงกำหนดอนาคตของเนปาลเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเสถียรภาพของทั้งภูมิภาคเอเชียใต้ด้วย
By Vladislav Zemanek, non-resident research fellow at China-CEE Institute and expert of the Valdai Discussion Club