สมรภูมิการค้าโลกเหตุผลที่สหรัฐฯยอมจีนแต่บีบอินเดีย

สมรภูมิการค้าโลก เหตุผลเชิงอำนาจ-เศรษฐกิจที่สหรัฐฯ ยอมจีนแต่บีบอินเดีย
15-8-2025
Asia Times รายงานวิเคราะห์ถึง กลยุทธ์การค้าที่แตกต่างของสหรัฐฯ ต่อจีนและอินเดีย การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) แห่งสหรัฐฯ ขยายเวลาสงบศึกด้านภาษีกับจีนออกไปอีก 90 วัน ในขณะที่กลับเพิ่มแรงกดดันต่ออินเดียอย่างหนักนั้น มีรากฐานมาจากการคำนวณที่เย็นชาและไร้ความปราณีของเศรษฐศาสตร์มหภาคแบบเปิด ซึ่งอำนาจทางเศรษฐกิจที่แท้จริง, อำนาจต่อรองในห่วงโซ่อุปทาน และทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ เป็นตัวกำหนดว่าใครจะสามารถทนสงครามการค้าได้ และใครที่ต้องยอมจำนน
การตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่ยืดเวลาสงบศึกภาษีกับจีนออกไปอีก 90 วัน ขณะที่ประกาศเพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่ออินเดีย สะท้อนให้เห็นคณิตศาสตร์เศรษฐกิจเปิดที่เย็นชาและไม่ยอมอ่อนข้อ ซึ่งทรัมป์ใช้เป็นกรอบตัดสินใจว่าใครจะอดทนสู้สงครามการค้าไหว และใครคือผู้ที่ต้องยอมถอย
ในปี 2024 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสินค้ากับจีนสูงถึง 295.5 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนตำแหน่งความเป็นมหาอำนาจด้านการผลิตของจีนซึ่งผลิตสินค้า–วัตถุดิบป้อนต้นทุนต่ำให้กับตลาดสหรัฐฯ ราว 30% ของของนำเข้าทั้งหมดมาจากจีน นั่นหมายถึงโครงสร้างพึ่งพากันที่มาตรการภาษีไม่อาจตัดขาดโดยไม่เสี่ยงให้สหรัฐฯ เผชิญเงินเฟ้อและวุ่นวายซัพพลายเชนภายในประเทศ
แม้ทรัมป์ขู่ภาษี 145% ต่อสินค้าจีน แต่ท้ายที่สุดในเดือนพฤษภาคม 2025 ก็ปรับลดเหลือ 30% เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบซ้ำเติมผู้บริโภค อุตสาหกรรม และตลาดการเงินในประเทศ สภาพเศรษฐกิจจีนในปีเดียวกันยังคงแข็งแกร่ง แม้เผชิญกำแพงภาษี แต่ยังสร้างดุลการค้าสินค้าและบริการกับสหรัฐฯ 262.33 พันล้านดอลลาร์ พร้อมกับหาตลาดใหม่ในอาเซียน ยุโรป และประเทศพันธมิตร Belt and Road Initiative ด้วยขนาดการส่งออกที่สูงกว่าของอินเดียถึง 30 เท่า
เกมตอบโต้ของปักกิ่งก็ไม่ด้อยกว่าวอชิงตัน เมื่อตอบโต้ด้วยภาษีสูงสุด 125% ต่อสินค้าเกษตรสหรัฐฯ เจาะฐานเสียงหลักรัฐเกษตรของทรัมป์ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต้องหาข้อยุติผ่านการเจรจาในเจนีวา กลางภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ดีดขึ้นแตะ 4.2% ขณะที่ตลาดหุ้น S&P 500 ร่วง 3% ช่วงวิกฤตภาษี
เครื่องมือสำคัญอีกอย่างของจีน คือ การใช้หยวนที่เป็นสกุลเงินควบคุม (managed currency) สามารถปล่อยให้หยวนอ่อนค่าลง 5% ในปี 2024 ลดผลกระทบการส่งออกโดยไม่กระทบเสถียรภาพในประเทศ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่อินเดียทำไม่ได้ เพราะรูปีถูกตลาดโลกกดดันและเงินทุนสำรองมีจำกัด
จุดแข็งอีกประการหนึ่งของจีนคือการควบคุมห่วงโซ่อุปทานหลักของอุตสาหกรรมโลก ในปี 2024 จีนครองสัดส่วน 60% ของชิปนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ และครองตลาดแร่หายากขั้นวิกฤตต่อเทคโนโลยีและการป้องกันประเทศ หากเกิดการหยุดชะงัก จะผลักต้นทุนการผลิตสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 10–15%
ทรัมป์อาจขู่ด้วยมาตรการภาษีสุดโต่ง แต่จีนสามารถใช้อิทธิพลในวัตถุดิบและเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นแต้มต่อ “ใครควบคุมห่วงโซ่การผลิตได้ ก็เหมือนควบคุมน้ำมันในยุค 1970s” อินเดียไม่มีอำนาจเช่นนั้น
ส่วนอินเดีย แม้เศรษฐกิจใหญ่ขึ้นแต่ยังเล็กกว่าจีนถึง 5 เท่า ด้วยจีดีพี 3.9 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2024 รายได้หลักจากการส่งออกสหรัฐฯ หมุนเวียนอยู่ที่ 87 พันล้านดอลลาร์ (2% ของจีดีพี) เมื่อทรัมป์ใช้ภาษีขาเข้า 50% (25% ปกติ + 25% โทษสำหรับการนำเข้าน้ำมันรัสเซีย) อินเดียเสี่ยงสูญเสียรายได้ส่งออก 40 พันล้านดอลลาร์ และจีดีพีอาจหดตัว 1–2% คนตกงานเป็นล้าน
อินเดียยังพึ่งพาสินค้านำเข้าจากจีน มีดุลขาดดุลการค้าต่อจีน 85 พันล้านดอลลาร์ (เฉพาะอิเล็กทรอนิกส์, ส่วนประกอบ, APIs) เมื่อเทียบกับตัวเอง อินเดียจึงไม่มีแต้มต่อในการตอบโต้ทางการค้า เงินทุนสำรองต่ำกว่า ค่าเงินรูปีอ่อน 3.9% ปี 2024 อัตราเงินเฟ้อขยับ 4.5% (ปี 2025) และดุลการคลังตึงตัว
ระบบการเมืองยิ่งเน้นความเปราะบาง อินเดียต้องรับแรงเสียดทานทางสังคม–การเมืองเร็วกว่า เพราะประชาธิปไตยต้องรับแรงโต้ตอบจากปัญหาตกงานและขึ้นราคาสินค้า ในขณะที่จีนควบคุมแรงปะทะการเมืองได้สูงกว่า
สาเหตุที่สหรัฐฯ กดดันอินเดียหนักกว่าจีนจึงอยู่ที่ขนาดเศรษฐกิจ ความหลากหลายห่วงโซ่ผลิต ความยืดหยุ่นต่อแรงกระแทก และอำนาจต่อรองในทรัพยากร ขณะที่อินเดีย เป็นเป้าหมายที่การจำกัด–กดดันให้ยอมถอยสำเร็จง่ายกว่าในระยะสั้น
เส้นทางของอินเดียข้างหน้าจึงท้าทาย ต้องเจรจาข้อตกลงการค้ากับอียู, อังกฤษ, อาเซียน, RCEP กระจายความเสี่ยง ยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐาน เร่งกักตุนเงินสำรอง—ทุกอย่างต้องใช้เวลายาวนาน ขณะที่จีน แม้ยังเจอแรงเสียดทาน ก็ยังอาศัยขนาดและความแกร่งในสินค้าขั้นสูงคุมสมดุลอำนาจได้เหนือกว่า
เค้าโครงกลยุทธ์ของทรัมป์จึงชัดเจน: จีนคือ “คู่แข่งระดับใกล้เคียง” ที่ต้องเจรจาและรับมือด้วยความระมัดระวัง ส่วนอินเดีย คือคู่แข่งขันที่ยังต้องยอมรับเงื่อนไขจากผู้มีอำนาจมากกว่า บนโลกที่สมการเศรษฐกิจเปิดไม่ปรานีประเทศที่เล็กหรือเปราะบางกว่า
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/08/why-trump-bows-to-xi-but-batters-and-mauls-modi/