.
IMCT ผ่าภูมิรัฐศาสตร์โลก 2025 เปิด 4 โจทย์ท้าทายพรรคการเมืองไทยวางยุทธศาสตร์ชาติปี 2026
15-12-2025
สมาคมสื่อมวลชนนานาชาติ ประเทศไทย (International Media Community of Thailand: IMCT) ร่วมกับสำนักข่าว IMCT NEWS จัดเวทีเสวนาครั้งสำคัญแห่งปี หัวข้อ “มองข้ามช็อต 2026: ภูมิรัฐศาสตร์โลกเปลี่ยนเกม, การเมืองไทยจะนำพาประเทศไปทิศทางใด?” โดยมุ่งวิเคราะห์สถานการณ์โลกที่กำลังเปลี่ยนขั้วอำนาจ พร้อมเปิดเวทีให้ตัวแทนพรรคการเมืองเก่าและใหม่แสดงจุดยืนและ “แผนยุทธศาสตร์รวม” เพื่อความอยู่รอดของประเทศ
สำหรับรายละเอียดทั้งหมดของเวทีเสวนาฯ สามารถรับชมได้ที่ https://youtu.be/LU31QPCWzdQ
เวทีนี้จัดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดของภูมิรัฐศาสตร์โลกและการแข่งขันของมหาอำนาจ โดยตั้งคำถามสำคัญว่า การเมืองไทยจะพาประเทศ “เอาตัวรอด” หรือ “ถูกลากเข้าเกม” บนสมรภูมิใหม่ของโลก และย้ำว่า “เป้าหมายสูงสุด” ต้องตอบโจทย์ความอยู่รอดของประเทศไทย
โดยช่วงแรกของเวทีเสวนา “The Global Jolt: สแกนภูมิรัฐศาสตร์โลก 2025 และฉากทัศน์ไทยในปี 2026” บรรยายโดย นายทนง ขันทอง นายกสมาคมสื่อมวลชนนานาชาติ ประเทศไทย และบรรณาธิการสำนักข่าว IMCT NEWS ซึ่งนำเสนอภาพรวมสถานการณ์โลกในทุกมิติ พร้อมชี้ให้เห็นความเสี่ยงเชิงมหภาคที่กำลังก่อตัวพร้อมกันหลายจุด
นายทนงเปิดประเด็นด้วยการสะท้อนความกังวลของสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอ ที่เตือนว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 กำลังก่อตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เชื่อมโยงเข้ากับวิกฤตปัจจุบันในหลายภูมิภาคทั้งยุโรป สหรัฐฯ เอเชีย และตลาดเกิดใหม่
วิกฤตยุโรปและการเสื่อมอำนาจตะวันตก
ในการวิเคราะห์ “วาระโลกใหม่: สงครามและการเสื่อมอำนาจของชาติตะวันตก” นายทนงชี้ว่า ประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจในยุโรปอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี กำลังเผชิญ “วิกฤติการเงินและเศรษฐกิจที่ไม่อาจเยียวยาได้ เพราะว่าครบรอบวงจรใหญ่” ซึ่งส่งผลกระทบลุกลามไปยังประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และไทย ที่ต้องเผชิญภาระหนี้และแรงกระแทกทางเศรษฐกิจตามไปด้วย
เขายังเตือนถึง “เกมรุกของ NATO” ที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้น โดยมีแนวโน้มพร้อมโจมตีรัสเซียก่อนภายใต้ข้ออ้างด้านการป้องกันตนเอง พร้อมทั้งมองว่ามีเป้าหมายดึงสหรัฐฯ เข้าสู่สงคราม ในขณะที่บทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีโลกกลับลดลงอย่างชัดเจน และเผชิญปัญหาการคลังและการจัดเก็บภาษีที่ไม่เพียงพอจะแก้ปัญหาภายในของตนเอง
ดุลอำนาจโลกเปลี่ยนขั้ว และบทบาท BRICS
นายทนงอธิบายว่า ดุลอำนาจโลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากสหรัฐฯ และชาติตะวันตกไปสู่จีน ขณะเดียวกันรัสเซีย อินเดีย และประเทศลาตินอเมริกาหลายประเทศกำลังเติบโตขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสะท้อนการเปลี่ยนสมดุลเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ
ในประเด็น “ทางออกเศรษฐกิจ: BRICS และกลไกใหม่” เขาระบุว่า กลุ่ม BRICS กำลังกลายเป็นกลุ่มประเทศที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่ระบบการเงินดั้งเดิมของชาติตะวันตกไม่สามารถพึ่งพาได้เหมือนเดิม พร้อมเสนอให้จับตาบทบาทของ BRICS ในฐานะ “กุญแจ” สำคัญของระบบเศรษฐกิจและตลาดใหม่ของโลก ขณะที่ยุโรปกำลังถดถอย
Stable Coin, Gold Corridor และยุทธศาสตร์ความเป็นอิสระ
นายทนงหยิบยกแนวนโยบายต่างประเทศในกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมองว่ามีแนวโน้มจะทบทวนภารกิจของสหรัฐฯ บนเวทีโลก และอาจผลักดันการใช้ Stable Coin เป็นกลไกป้องกันการบิดเบือนของธนาคาร กระทบต่อสถานะของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระบบการเงินโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พร้อมกันนี้ เขากล่าวถึงแนวคิด “Gold Corridor” หรือ “คลองคอคอด” ในฐานะโครงการลงทุนเชื่อมต่อด้านสินค้าและโลจิสติกส์ของโลก ที่อาจเข้ามาเป็นอีกหนึ่งแกนสำคัญของโครงสร้างเศรษฐกิจและการค้าในอนาคต โดยชี้ว่าการจัดการทรัพย์สินและการลงทุนในยุคใหม่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ “ให้ทุน–ปรับโครงสร้าง–ควบคุม” ควบคู่กับการใช้ตลาดในประเทศให้เต็มศักยภาพ
เขาย้ำว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องวางยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่ทำให้ “ประเทศเป็นอิสระและเข้มแข็ง” สามารถรับมือกับทั้งเงินเฟ้อ เงินฝืด และการแข่งขันทางการเงิน ที่ต้องใช้อำนาจการลงทุนในระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิม
โจทย์ใหญ่ปี 2026 และการเชื่อมสู่เวทีการเมือง
นายทนงสรุปภาพรวมว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ “ยุคใหม่ของการแข่งขันทางการตลาด” ที่ใช้ความรุนแรงและการบีบบังคับทางนโยบายได้มากขึ้น หากประเทศต่าง ๆ แสดงท่าที “ยอมรับนโยบายอเมริกัน” เป็นสำคัญ พร้อมเตือนว่าไทยต้องเร่งวางยุทธศาสตร์รับมือแรงกดดันเหล่านี้ในปี 2026
--------------------------------------------------
ช่วงที่ 2 ของเวทีเสวนา “วิสัยทัศน์ 2026: การเมืองไทยจะนำพาประเทศไปทางไหน ในบริบทโลกที่เปลี่ยนไป” เปิดพื้นที่ให้ตัวแทนพรรคการเมืองหลักของไทย นำเสนอวิสัยทัศน์และ “ยุทธศาสตร์รวม” ต่อโจทย์ใหญ่ของประเทศ ภายใต้แรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์โลกที่กำลังเปลี่ยนขั้ว
ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคเศรษฐกิจ พรรคโอกาสใหม่ พรรคปวงชนไทย และพรรครักชาติ โดยมี ดร.ณัฐพงษ์ รอบคอบ กรรมการบริหารสมาคมฯ และผู้ก่อตั้ง TikTok Spark Update Channel ทำหน้าที่ดำเนินการสนทนา ตั้ง 4 คำถามหลักว่าด้วย ความขัดแย้งไทย–กัมพูชา การถ่วงดุลมหาอำนาจ BRICS+ และนโยบายเศรษฐกิจเพื่อความอยู่รอด
## คำถาม I: บริหารความขัดแย้งไทย–กัมพูชา กับเดิมพันอธิปไตย
คำถามแรกมุ่งไปที่แนวทางรับมือความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ในบริบทความเสี่ยงจากการแทรกแซงของมหาอำนาจ โดยแต่ละพรรคเสนอคำตอบแตกต่างกัน ทั้งด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงและการทูต
- พรรครวมไทยสร้างชาติ (นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี) และพรรคเศรษฐกิจ (พลเอก รังษี กิติญาณทรัพย์) เสนอแนวทางเข้มข้น มองว่ารัฐบาลไทยต้อง “ตั้งโจทย์ทวงคืนดินแดนผืนสุดท้ายที่เสียไปตั้งแต่ปี 2505” หรืออย่างน้อยต้อง “ลด–ทำลายศักยภาพทางทหารของกัมพูชา” เพื่อสร้างความสงบในระยะ 10–20 ปี
- พรรคพลังประชารัฐ (ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี) วิเคราะห์ว่าความขัดแย้งส่วนหนึ่งเกิดจากยุทธศาสตร์ของกัมพูชาที่ต้องการผลักดันเรื่องเข้าสู่ศาลโลก จึงเสนอว่าประเทศไทยจำเป็นต้องกดดันด้านศักยภาพทางทหารของกัมพูชา พร้อมเปิดทางเรียกร้อง “ค่าปฏิกรรมสงคราม”
- พรรคเพื่อไทย (นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์) เสนอ “ยุทธศาสตร์การทูตเชิงรุก” เน้นใช้พลังประชาคมโลก “ให้โลกล้อมกัมพูชา” ผ่านเวทีสากล ควบคู่กับการเจรจากับมหาอำนาจโดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง เพื่อให้ไทยรักษาผลประโยชน์โดยไม่เปิดช่องให้คู่กรณีได้เปรียบในเชิงการตีความ
- พรรคประชาธิปัตย์ (นายอิสรา สุนทรวัฒน์) และพรรครักชาติ (นางสาวชุติกาญจน์ สุวรรณโคตร) ให้ความสำคัญกับ “การเจรจาและกติกาสากล” โดยเสนอให้เดินหน้าพูดคุยอย่างต่อเนื่อง ใช้กำลังเป็น “ทางเลือกสุดท้าย” พร้อมเน้นการสื่อสารกับประชาคมโลกเพื่อยืนยันว่าการดำเนินการของไทยอยู่บนหลักการนานาชาติ
- พรรคโอกาสใหม่ พรรคปวงชนไทย (ถ้าจะระบุเพิ่มในต้นฉบับ) สามารถเน้นบทบาท “การป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งลุกลามเป็นสงครามตัวแทน” เสนอใช้กลไกภูมิภาคและความร่วมมืออาเซียนเป็นกันชน
## คำถาม II: ถ่วงดุลอำนาจ – ไทยจะคบใครในยุคสหรัฐฯ–จีนแข่งขัน
คำถามที่สองว่าด้วยยุทธศาสตร์การทูตและการเลือกจุดยืนของไทย ระหว่างการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และจีน รวมถึงโครงสร้างโลกแบบหลายขั้วอำนาจ
- พรรคเพื่อไทย เสนอ “ยุทธศาสตร์ 5 สมดุล” ในกรอบ Multiple Alignment โดยย้ำหลัก “ไม่เลือกข้าง แต่เลือกผลประโยชน์ไทย” และเสนอให้โครงการ Land Bridge เป็นกลไกสำคัญในการเพิ่ม “อำนาจต่อรองใหม่” ของประเทศไทย ท่ามกลางเกมการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ของภูมิภาค
- พรรคโอกาสใหม่ (นางสาวอนุสรี ทับสุวรรณ) เสนอกรอบคิด “3 วงจรโลก (Multi-Polar)” โดยเห็นว่าไทยไม่ควรยืนอยู่เพียง “ตรงกลาง” แบบถูกดึง แต่ควรเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของทั้ง 3 วง คือ สหรัฐฯ/สหภาพยุโรป, จีน/BRI และ BRICS/Global South ใช้ภูมิศาสตร์ไทยเป็น “จุดเชื่อมต่อ” สร้างแต้มต่อทางเศรษฐกิจและความมั่นคง
- พรรคพลังประชารัฐ เสนอแนวคิด “คบแบบรู้เท่าทันผลประโยชน์” คือ คบสหรัฐฯ โดยเข้าใจเงื่อนไขและผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกัน “คบจีนแบบครอบครัว” มองเป็นพันธมิตรระยะยาว โดยเปรียบไทยเป็น “ไข่แดง” ที่ไม่มีมหาอำนาจใดยอมทิ้งได้ง่าย
- พรรครวมไทยสร้างชาติ เน้นการรักษาสถานะ “เป็นกลางที่มีน้ำหนัก” ผ่านความเชื่อมั่นและความจริงใจ พร้อมเสนอให้ไทย “ยกระดับอุตสาหกรรมอาหารและการแพทย์” ไปสู่ระดับโลก เพื่อสร้างความจำเป็นให้มหาอำนาจต้องพึ่งพาประเทศไทย
- พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเศรษฐกิจ พรรคปวงชนไทย และพรรครักชาติ สามารถจัดวางในกรอบ “ถ่วงดุลแบบยึดผลประโยชน์ชาติและพันธมิตรหลากหลาย” หากมีรายละเอียดคำตอบในต้นฉบับ ให้ดึงมาเติมตรงนี้ให้ครบทุกพรรคในน้ำหนักใกล้เคียงกัน
## คำถาม III: BRICS+ – ทางรอดใหม่ หรือความเสี่ยงซ้อน
คำถามที่สามมุ่งไปที่ BRICS+ และบทบาทของไทยในระบบเศรษฐกิจโลกใหม่ ซึ่งหลายพรรคเห็นตรงกันว่า BRICS เป็นทั้ง “โอกาสทอง” และ “ความท้าทายเชิงโครงสร้าง”
- พรรคเพื่อไทย มอง BRICS เป็น “โอกาสทางเศรษฐกิจและตลาดเกิดใหม่” ที่ไทยควรใช้ทั้งเป็นเครือข่ายตลาดและแหล่งเงินทุน พร้อมเสนอให้ไทยสร้าง “อำนาจต่อรองด้านอาหาร” ร่วมกับอินเดียและสมาชิกอื่น เพื่อใช้จุดแข็งด้านเกษตรและอาหารเป็นฐานอำนาจใหม่
- พรรคเศรษฐกิจ เสนอให้ไทย “เดินหน้าเข้าร่วม BRICS เต็มตัวโดยเร็วที่สุด” เพื่อสร้างสมดุลกับกลุ่ม G7 ลดการพึ่งพาระบบการเงินดอลลาร์ และเปิดประตูสู่โอกาสการค้าการลงทุนรูปแบบใหม่
- พรรครักชาติ มอง BRICS เป็น “ไพ่ใบหนึ่ง” ของไทยในการเจรจากับมหาอำนาจ มองว่าสามารถใช้เป็นเครื่องมือ “งัดข้อกับสหรัฐฯ” ในเรื่องการเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้า รวมถึงการใช้สถาบันการเงินของ BRICS เป็นกลไกถ่วงดุลกับ IMF
- พรรครวมไทยสร้างชาติ เตือนถึงด้านมืดของโอกาส โดยชี้ว่าไทยต้อง “ระวังการทุ่มตลาด (Dumping)” จากสมาชิก BRICS ที่เป็นคู่แข่งการผลิต เช่น บราซิล อินเดีย และจีน จึงเสนอให้เสริมความเข้มแข็งของ “สำนักงานมาตรฐาน (สมอ.)” ให้โปร่งใส ปราศจากคอร์รัปชัน เพื่อปกป้องผู้ผลิตและผู้บริโภคไทย
- พรรคอื่น ๆ เช่น พรรคพลังประชารัฐ พรรคโอกาสใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคปวงชนไทย หากมีท่าทีในต้นฉบับ ให้ระบุชัดว่า “มอง BRICS เป็นอีกหนึ่งช่องทางกระจายความเสี่ยง” ไม่ใช่การเลือกข้าง แต่เป็นการเพิ่มทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์
## คำถาม IV: นโยบายเศรษฐกิจ – เปลี่ยนความเสี่ยงเป็นทางรอด
คำถามสุดท้ายเป็นเรื่องนโยบายเศรษฐกิจในภาพใหญ่ ที่ทุกพรรคเห็นร่วมกันว่า ไม่ใช่แค่ “นโยบายเลือกตั้ง” แต่ต้องกลายเป็น “ทางรอดของประเทศ” ท่ามกลางหนี้สะสมสูงและโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน
- พรรคเศรษฐกิจ เสนอ “2 เมกะโปรเจกต์แก้หนี้” ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง 10 สาย และโครงการ Ocean Link คล้ายกับคลองปานามา เฟส 2 โดยตั้งเป้าใช้เมกะโปรเจกต์เป็นเครื่องมือพลิกวิกฤตหนี้ 55 ล้านล้านบาท และดันรายได้ต่อหัวคนไทยให้ถึง 20,000 เหรียญสหรัฐต่อปี
- พรรครวมไทยสร้างชาติ ชูแนวคิด “Green Economy และ Tech S-Curve” ผลักดันให้ไทยเข้าสู่ธุรกิจ New S Curve เช่น อุตสาหกรรมชิปขนาดเล็ก พร้อมเสนอ “เปิดเสรีโซลาร์ (Free Solar)” เพื่อแก้การผูกขาดพลังงานและลดต้นทุนให้ภาคการผลิต
- พรรคเพื่อไทย เสนอ “Tech Diplomacy” โดยโฟกัส 5 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสำคัญ เช่น Semiconductor, AI, EV Battery ใช้การดึง FDI ภายใต้เงื่อนไข “Local Partner requirement” เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างฐานอุตสาหกรรมในประเทศ
- พรรคโอกาสใหม่ และ พรรคพลังประชารัฐ เน้น “ทุนมนุษย์และ Biomedical” เสนอแผน National Reskilling Plan การยกระดับ English Program และการลงทุนในวิจัย Biomedical โดยอาศัยความหลากหลายทางชีวภาพและสมุนไพรไทย สร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่เศรษฐกิจสุขภาพ
- พรรคประชาธิปัตย์ พรรคปวงชนไทย และพรรครักชาติ หากมีรายละเอียดในต้นฉบับ ควรใส่บทบาทด้าน SMEs เศรษฐกิจฐานราก ระบบภาษี หรือการกระจายโอกาส เพื่อให้ภาพรวม “ทางรอดเศรษฐกิจ” มีทุกพรรคอย่างเท่าเทียม
"การเสวนาครั้งนี้ได้สรุปว่า การเมืองไทยต้องเร่งวาง "ยุทธศาสตร์รวม" ที่นำข้อมูลเชิงภูมิรัฐศาสตร์มาใช้ในการตัดสินใจ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและนำพาประเทศให้อยู่รอดได้อย่างยั่งยืนในปี 2026 ท่ามกลางสมรภูมิเศรษฐกิจและอำนาจโลกที่กำลังแยกขั้วอำนวจ"
---
IMCT NEWS