.

อินเดียจี้ UN คุมอาวุธนิวเคลียร์ปากีสถาน หลังเหตุปะทะรุนแรง
16-5-2025
รัฐมนตรีกลาโหมของอินเดีย นายราชนาถ สิงห์ (Rajnath Singh) เรียกร้องเมื่อวันพฤหัสบดี (15 พ.ค.) ให้ ทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ของสหประชาชาติเข้าแทรกแซงและดูแลคลังอาวุธนิวเคลียร์ของปากีสถาน โดยกล่าวว่า “อาวุธนิวเคลียร์ไม่ควรอยู่ในมือของประเทศที่ไร้ความรับผิดชอบและมีพฤติกรรมแหกกฎ”
คำกล่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สองประเทศซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง — อินเดียและปากีสถาน — เพิ่งยุติความขัดแย้งทางทหารที่รุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี
เหตุปะทะเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากอินเดียเปิดฉากโจมตีทางอากาศใส่ “ค่ายผู้ก่อการร้าย” ภายในปากีสถาน เพื่อตอบโต้เหตุโจมตีในแคชเมียร์ที่อินเดียครอบครองเมื่อเดือนก่อน ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 26 ราย อินเดียกล่าวหาว่าปากีสถานหนุนหลังกลุ่มโจมตีดังกล่าว แต่รัฐบาลอิสลามาบัดปฏิเสธอย่างหนักแน่น
หลังจากนั้น ทั้งสองประเทศได้ยิงขีปนาวุธและส่งโดรนเข้าสู่น่านฟ้าของกันและกัน ก่อนจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในวันเสาร์ที่ผ่านมา
กระทรวงการต่างประเทศปากีสถานออกแถลงการณ์ประณามคำกล่าวของรัฐมนตรีอินเดียผ่านแพลตฟอร์ม X โดยระบุว่าเป็นการสะท้อนถึง “ความไม่มั่นคงและความหงุดหงิดของอินเดีย” ต่อระบบการป้องกันประเทศของปากีสถานที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการรุกรานด้วยอาวุธธรรมดา
ทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงเวียนนา เป็นองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ทั่วโลกเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปเพื่อสันติ อินเดียมีความตกลงกับ IAEA ตั้งแต่ปี 2008 ให้ตรวจสอบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์บางแห่งในประเทศ
อินเดียและปากีสถานได้กลายเป็นประเทศนิวเคลียร์หลังจากทดลองระเบิดนิวเคลียร์ตอบโต้กันในปี 1998 ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศยังคงเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงทางนิวเคลียร์ที่อันตรายที่สุดของโลก
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มีรายงานว่าคณะกรรมการระดับสูงของปากีสถานที่ดูแลอาวุธนิวเคลียร์เตรียมประชุมฉุกเฉิน ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ แต่รัฐมนตรีกลาโหมปากีสถานยืนยันว่าไม่มีการประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นจริง
นักวิเคราะห์ทางทหารเชื่อว่า การปล่อยข่าวการประชุมอาจเป็นกลยุทธ์ของปากีสถานในการส่งสัญญาณเชิงขู่ เพราะปากีสถานยึดหลัก “ใช้ก่อน” (first-use) หากความมั่นคงของประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤติ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ กล่าวที่ฐานทัพในกาตาร์ว่า ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานได้สิ้นสุดลงแล้ว พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศหันมาส่งเสริมการค้าแทนสงคราม
“ผมหวังว่าอีกสองวันข้างหน้าผมจะไม่ต้องพบว่าเรื่องยังไม่จบ... แต่ตอนนี้มันจบแล้ว เราคุยกับพวกเขาเรื่องการค้า เราควรทำการค้าแทนที่จะทำสงคราม” ทรัมป์กล่าว โดยระบุว่าการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในวันเสาร์นั้น เป็นผลจากการทูตและแรงกดดันจากสหรัฐฯ
แม้ปากีสถานจะขอบคุณสหรัฐฯ สำหรับบทบาทในเรื่องนี้ แต่ยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการต่อคำกล่าวล่าสุดของทรัมป์
ด้านอินเดียก็ยังไม่ออกมาให้ความเห็นเพิ่มเติม โดยกระทรวงการต่างประเทศอินเดียระบุเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ว่า การพูดคุยกับสหรัฐฯ ไม่ได้มีการหารือเรื่องการค้า และข้อตกลงหยุดยิงนั้นเป็นผลจากการเจรจาโดยตรงกับอิสลามาบัด
นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า หากอินเดียถูกโจมตีอีก อินเดียจะไม่ลังเลในการโจมตีเป้าหมายของผู้ก่อการร้ายข้ามพรมแดนอีกครั้ง โดยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งที่เขาเรียกว่า “การขู่ด้วยนิวเคลียร์” ของปากีสถาน
ด้านปากีสถานตอบโต้ว่า คำกล่าวของโมดีเป็น “การยั่วยุและอันตราย” ซึ่งอาจนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดอย่างรุนแรง
อินเดียซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู และปากีสถานซึ่งเป็นประเทศมุสลิม ได้ทำสงครามกันมาแล้ว 3 ครั้ง สองครั้งจากทั้งหมดเป็นความขัดแย้งเกี่ยวกับแคว้นแคชเมียร์ ซึ่งทั้งสองประเทศต่างอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนทั้งแคว้น แต่แบ่งการปกครองกันคนละส่วน
อินเดียยังกล่าวหาปากีสถานอีกด้วยว่าให้การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธในเขตแคชเมียร์ของอินเดีย แต่ปากีสถานปฏิเสธอย่างหนักแน่น
IMCT News
ที่มา: https://www.channelnewsasia.com/asia/iaea-take-charge-pakistan-nuclear-weapons-india-defence-minister-5131746
-----------------------------
อินเดียและปากีสถานมีหัวรบนิวเคลียร์พอๆกัน
16-5-2025
อินเดียและปากีสถาน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงหยุดยิงหลังจากการปะทะกันตามแนวชายแดนที่มีข้อพิพาท ได้รับความสนใจจากทั่วโลก เนื่องจากทั้งสองประเทศเพื่อนบ้านนี้ต่างครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ จากข้อมูลของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) แต่ละประเทศครอบครองหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 170 หัวรบ
ตามที่ Anna Fleck จาก Statista แสดงในแผนภูมิต่อไปนี้ อินเดียได้เพิ่มหัวรบนิวเคลียร์ 8 หัวรบเข้ามาในคลังแสงตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 โดยเพิ่มจาก 164 หัวรบเป็น 172 หัวรบ เกาหลีเหนือและจีนก็ขยายคลังแสงของตนในช่วงเวลานี้เช่นกัน โดยมีจำนวนหัวรบรวมประมาณ 50 หัวรบและ 500 หัวรบตามลำดับ
ปัจจุบัน คาดว่ามีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 9,585 หัวรบในคลังแสงทหารสำหรับการใช้งานที่เป็นไปได้ในเก้าประเทศ โดยรัสเซียและสหรัฐฯ คิดเป็น 8,088 หัวรบจากจำนวนนี้
นอกจากนี้ ยังมีหัวรบที่ปลดประจำการแล้วประมาณ 2,536 หัวรบที่ยังไม่ได้รื้อถอน
สองมหาอำนาจนิวเคลียร์ในยุโรป ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร มีหัวรบนิวเคลียร์ที่พร้อมใช้งานรวมกัน 515 หัวรบ
ยกเว้นเกาหลีเหนือ ไม่มีชาติใดที่ครอบครองหัวรบนิวเคลียร์ทำการทดสอบตั้งแต่ทศวรรษ 1990
https://www.statista.com/chart/8301/the-countries-holding-the-worlds-nuclear-arsenal/