.

คณะผู้แทนกองทัพกัมพูชาเยือนกองบัญชาการอินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ เพื่อประชุมหารือด้านกลาโหมทวิภาคี
30-7-2025
จากกองบัญชาการอินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ แคมป์ เอช.เอ็ม. สมิธ, ฮาวาย — กองบัญชาการอินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ ยังคงเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง โดยได้ต้อนรับคณะผู้แทนจากกองทัพหลวงกัมพูชาในการประชุมหารือด้านกลาโหมทวิภาคี ระหว่างวันที่ 24–25 กรกฎาคม 2025
การหารือระหว่างกองทัพของกัมพูชากับกองทัพสหรัฐเกิดขึ้น4วันก่อนที่จะมีการเจรจาหยุดยิงระหว่างไทยกับกับพูชาที่มาเลย์เซียในสงครามพรมแดนที่กินเวลา5วัน
ภายใต้การนำของพลโท ซวน สมนัง ประธานคณะประสานงานความร่วมมือทางทหารของกัมพูชา และพลจัตวา จอร์จ โรเวลล์ แห่งนาวิกโยธินสหรัฐฯ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนยุทธศาสตร์และนโยบาย (J5) ของกองบัญชาการอินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ (USINDOPACOM) การหารือครั้งนี้มุ่งเน้นถึงโอกาสในการขยายความร่วมมือทางทหารทวิภาคี โดยเฉพาะการฝึกอบรมร่วม การศึกษาวิชาชีพทางทหาร และโครงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือถึงแนวทางในการฟื้นฟูการฝึกร่วม “แองกอร์ เซนทิเนล” (Angkor Sentinel) ระหว่างสหรัฐฯ กับกัมพูชา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าใหม่ในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านกลาโหม
การพบปะหารือครั้งสำคัญนี้ ถือเป็นการประชุม BDD (Bilateral Defense Dialogue) ครั้งแรกระหว่างสองประเทศนับตั้งแต่ปี 2017 ตอกย้ำถึงความร่วมมือทางกลาโหมที่เติบโตขึ้น พร้อมส่งเสริมความเข้าใจร่วมกันต่อความท้าทายระดับภูมิภาคที่กำลังเปลี่ยนแปลง และระบุแนวทางที่เป็นรูปธรรมสำหรับการดำเนินความร่วมมือในอนาคต
สองชาติยังคงสร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งและมุ่งสู่อนาคต โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน และเป้าหมายร่วมเพื่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่มั่นคงและรุ่งเรือง
พลเรือเอก ซามูเอล เจ. ปาปาโร ผู้บัญชาการกองบัญชาการอินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ ได้เดินทางเยือนกัมพูชาในเดือนธันวาคม 2024 เนื่องในโอกาสต้อนรับการเยือนของเรือรบสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี โดยเขาได้ร่วมเยี่ยมชมเรือ USS Savannah ที่ท่าเรือสินหนุวิลล์ ออโตโนมัส ของกัมพูชา ร่วมกับพลเรือจัตวา เมย์ ดินา ผู้บัญชาการฐานทัพเรือเรียม และผู้ว่าราชการจังหวัดพระสีหนุ นายแมง ซิเนต
การพบปะแลกเปลี่ยนเหล่านี้ถือเป็นหลักฐานแสดงถึงความสัมพันธ์ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสหรัฐอเมริกาเป็นหุ้นส่วนทางการทูตที่เก่าแก่ที่สุดของกัมพูชา ซึ่งในปี 2025 ทั้งสองประเทศจะเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 75 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูต
กองบัญชาการอินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ (USINDOPACOM) มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ผ่านความร่วมมือด้านความมั่นคง การส่งเสริมการพัฒนาอย่างสันติ การตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน การยับยั้งการรุกราน และเมื่อจำเป็น ก็พร้อมเผชิญหน้าและเอาชนะในสถานการณ์ความขัดแย้ง
-----------------------
นักวิเคราะห์ชี้ 'หยุดยิงชายแดนไทย-กัมพูชา' สงบชั่วคราวท่ามกลางเงื่อนไขเปราะบาง ไร้กลไกติดตาม ผลประโยชน์ยังค้างคา
30-7-2025
DW รายงานว่า ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชาที่ประกาศบังคับใช้หลังการปะทะหนักตลอด 5 วัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 35 คน และมีผู้พลัดถิ่นราว 200,000 คนในทั้งสองฝั่ง ดูเหมือนจะสามารถยับยั้งความรุนแรงได้ในเบื้องต้น ทว่านักวิเคราะห์เตือนว่ายังเร็วเกินไปที่จะวางใจ ขณะที่เงื่อนไขหลายประการยังคงเปราะบาง
การหยุดยิง "ทันทีและไม่มีเงื่อนไข" ซึ่งเป็นผลจากกระบวนการไกล่เกลี่ยของมาเลเซีย (Malaysia) ในฐานะประธานอาเซียน (ASEAN) ครั้งนี้ ได้รับการแถลงผ่านแถลงข่าวโดยนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ซึ่งย้ำถึง "ความสำคัญในฐานะก้าวแรกของการคลี่คลายวิกฤต" อย่างไรก็ตาม หลังหยุดยิงเพียงไม่กี่ชั่วโมง มีรายงานจากกองทัพไทยว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงในบางจุด แต่กระทรวงกลาโหมกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่ายังยึดมั่นข้อตกลง
**ประเด็นการเมืองภายใน รายงานการใช้ประโยชน์จากความขัดแย้ง**
วิเคราะห์โดย Zachary Abuza จาก National War College ณ กรุงวอชิงตัน ระบุว่า ฝ่ายทหารและกลุ่มอนุรักษนิยมในไทยใช้เหตุการณ์นี้เพื่อกดดันและลดบทบาททางการเมืองของตระกูลชินวัตร (Shinawatra) หลังแพทองธาร ชินวัตร (Paetongtarn Shinawatra) ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งพักงานจากกรณีโทรศัพท์หลุดกับฮุน เซน (Hun Sen) ประธานวุฒิสภากัมพูชา
การเปิดเผยสายโทรศัพท์ดังกล่าวตอกย้ำความอ่อนไหวเชิงอำนาจระหว่างผู้นำการเมืองกับกองทัพไทย ซึ่งมีบทบาทสูงในวิกฤติชายแดน
ทางฝั่งกัมพูชา การปะทะล่าสุดนี้ถูกใช้ตอกย้ำความมั่นคงของกลุ่มอำนาจตระกูลฮุน (Hun) ทั้งฮุน เซน (อดีตนายกฯ) และฮุน มาเนต (Hun Manet) นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ที่ใช้วิกฤตสร้างภาพความเป็นผู้นำแข็งแกร่งและเบียดกระแสฝ่ายค้านซึ่งอยู่ในต่างประเทศ
**ข้อจำกัดของข้อตกลง หวั่นขาดกลไกตรวจสอบระหว่างประเทศ**
Matthew Wheeler นักวิเคราะห์อาวุโสจาก International Crisis Group ตั้งข้อสังเกตว่า การหยุดยิงรอบนี้อาจถูกรักษาได้หากทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายได้รับแล้ว แต่ความท้าทายยังอยู่ที่ "ขาดกลไกติดตามตรวจสอบ" ซึ่งยังไม่ได้รับการระบุชัดเจน
มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนเสนอร่วมประสานตั้งทีมติดตามหยุดยิง (monitoring team) แต่ยังไม่มีการยอมรับจากทั้งสองฝ่ายในการเปิดรับผู้สังเกตการณ์ต่างชาติ เช่นกรณีอินโดนีเซียที่เคยถูกเสนอแต่ไม่เกิดขึ้นจริงในอดีต
Paul Chambers นักวิจัยจากสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak สิงคโปร์ เห็นว่าข้อตกลงใดๆ ที่ไร้องค์กรที่สามตรวจสอบ จะยากต่อการบังคับให้เป็นจริงอย่างยั่งยืน
**แรงกดดันภายนอกจากสหรัฐฯ เชื่อมโยงเข้าสู่กลไกเศรษฐกิจ**
บทบาทของสหรัฐฯ ที่มีต่อทั้งสองประเทศตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะการขู่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทยและกัมพูชา 36% หากไม่หยุดยิงในทันที รวมถึงการโทรศัพท์โดยตรงจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ไปยังผู้นำทั้งสองประเทศ มีส่วนสำคัญเร่งให้ฝ่ายไทย โดยเฉพาะรัฐบาลที่กำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจภายใน ยินยอมหยุดยิงเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายระหว่างรอการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ
Harrison Cheng จาก Control Risks เห็นว่าทรัมป์มีบทบาทสำคัญในเชิงจุดประกายข้อตกลง แต่ทั้งไทยและกัมพูชายังคงสงสัยถึงความหนักแน่นและต่อเนื่องของสหรัฐฯ ในการเป็น "ผู้กำกับดูแล" ข้อตกลงหยุดยิงนี้
**บทเรียนจากภูมิภาคและความขัดแย้งชายแดนในอดีต**
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา แม้จะมีหยุดยิงบ่อยครั้งแต่ชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่มีระบบยั่งยืนหรือข้อตกลงคุมกันปะทะแบบถาวร จุดขัดแย้งที่สำคัญยังคงเป็นเรื่องเขตแดนและผลประโยชน์ในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร (Preah Vihear Temple) ที่เคยก่อให้เกิดการปะทะรอบใหญ่เมื่อปี 2011
_สรุปแนวโน้มและความเสี่ยง_บรรดาผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่า หยุดยิงครั้งนี้มีโอกาสถือได้ในระยะสั้น เพื่อลดแรงกดดันการเมืองภายในและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แต่ยังมีความเสี่ยงสูงหากยังไม่มี “ระบบติดตามที่โปร่งใส” หรือยังไม่มีการคลี่คลายปมผลประโยชน์หลัก เขตแดน หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เป็นที่น่าพึงพอใจทั้งสองฝ่าย
> ข้อตกลงหยุดยิงชายแดนไทย-กัมพูชาในครั้งนี้จึงถือเป็นความคืบหน้าเชิงสัญลักษณ์ แต่หากขาดการประสานมืออย่างต่อเนื่องและกลไกตรวจสอบระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ โอกาสที่จะเกิดเหตุซ้ำรอยย่อมมีสูง
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.dw.com/en/will-the-cambodia-thailand-ceasefire-hold/a-73448995