.

4 สัญญาณเตือนอิหร่าน-อิสราเอลเสี่ยงกลับสู่สงครามอีกครั้ง
11-7-2025
Newsweek รายงานว่า สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและอิสราเอลยังคงอยู่ในระดับวิกฤตหลังจากการปะทะกัน 12 วันในเดือนมิถุนายน ซึ่งถือเป็นการเผชิญหน้าที่รุนแรงและสร้างความเสียหายมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา แม้จะมีการประกาศหยุดยิงเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน แต่ปัญหาเชิงยุทธศาสตร์และโครงการนิวเคลียร์ยังคงเป็นประเด็นที่ไม่ได้ถูกแก้ไข ซึ่งปูทางไปสู่การเผชิญหน้าครั้งใหม่ในอนาคต
ความขัดแย้งครั้งล่าสุดเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ด้วยการโจมตีเป้าหมายนิวเคลียร์และทางทหารของอิหร่านโดยอิสราเอล ซึ่งอิหร่านตอบโต้กลับด้วยโดรนและขีปนาวุธหลายร้อยลูกพุ่งเป้าไปที่อิสราเอล ต่อมาในวันที่ 22 มิถุนายน สหรัฐฯ ได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศและขีปนาวุธใส่โรงงานนิวเคลียร์สำคัญของอิหร่าน ซึ่งอิหร่านได้ตอบโต้ด้วยการกำหนดเป้าหมายฐานทัพสหรัฐฯ ในกาตาร์ (Qatar)
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าความขัดแย้งเพิ่มเติมอาจส่งผลให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางไร้เสถียรภาพ คุกคามพลังงานและความมั่นคงของโลก และอาจดึงมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน เข้าสู่ความขัดแย้งโดยตรงได้ การพัฒนาล่าสุดหลายประการบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการปะทุขึ้นของความขัดแย้งอีกครั้ง:
1. การเสริมกำลังอาวุธอย่างรวดเร็วของทั้งสองฝ่าย
ทั้งอิหร่านและอิสราเอลกำลังเร่งเสริมสร้างศักยภาพทางทหาร อิหร่านได้จัดซื้อระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศจากจีนเพื่อฟื้นฟูระบบป้องกันที่เสียหายจากการโจมตีของอิสราเอล นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมจีนยังยืนยันความเต็มใจที่จะจัดหาเครื่องบินขับไล่หลายบทบาท J-10 ให้กับ "ประเทศที่เป็นมิตร" ท่ามกลางรายงานที่อิหร่านต้องการเครื่องบินเหล่านี้เพื่อปรับปรุงระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ล้าสมัยซึ่งส่วนใหญ่ได้รับจากรัสเซีย
ในทางกลับกัน อิสราเอลได้เพิ่มการลาดตระเวนทางอากาศเหนือน่านฟ้าเลบานอน (Lebanon) จัดตั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยภายในประเทศใหม่เพื่อปกป้องพลเรือน และเรียกกำลังสำรองกลับมาประจำการเพื่อสนับสนุนกองกำลังแนวหน้า ซึ่งได้รับการยืนยันจากรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล คัทซ์ (Israel Katz) ขณะที่สหรัฐฯ ได้เร่งการส่งมอบอาวุธขั้นสูงและระบบป้องกันขีปนาวุธไปยังอิสราเอลเพื่อทดแทนอุปกรณ์ที่สูญเสียไป
2. สถานะโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
แม้แหล่งนิวเคลียร์ของอิหร่านจะได้รับความเสียหายอย่างหนักจากความขัดแย้งที่ผ่านมา แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสิ่งอำนวยความสะดวกหลักเหล่านั้นถูกทำลายจนไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป อิหร่านยังคงยืนยันที่จะเสริมสมรรถนะยูเรเนียมและพัฒนากระบวนการแยกยูเรเนียมแบบก้าวหน้า (Advanced Centrifuges) ซึ่งสะท้อนถึงความทะเยอทะยานด้านนิวเคลียร์ที่ยังคงอยู่ นอกจากนี้ อิหร่านยังได้ยุติความร่วมมือกับสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ในการตรวจสอบ ซึ่งทำให้โอกาสในการเจรจากับรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ยังคงไม่แน่นอน
3. การปรับแนวทางที่สอดคล้องกันของทรัมป์ (Trump) และ เนทันยาฮู (Netanyahu)
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ (Donald Trump) และนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) ดูเหมือนจะมีความเห็นต่างในการจัดการกับอิหร่าน แต่การประชุมล่าสุดบ่งชี้ถึงการมีแนวทางที่สอดคล้องกันมากขึ้นในการเผชิญหน้ากับความทะเยอทะยานด้านนิวเคลียร์ของเตหะรานและการสนับสนุนกลุ่มตัวแทนในภูมิภาค เนทันยาฮู (Netanyahu) กล่าวอย่างชัดเจนว่า "อิสราเอลจะใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อป้องกันตนเอง" และยังได้เสนอชื่อทรัมป์ (Trump) เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งเน้นย้ำถึงความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นของทั้งสองผู้นำในด้านความมั่นคงในตะวันออกกลาง
4. กิจกรรมกลุ่มตัวแทนที่ทวีความรุนแรงขึ้น
กลุ่มกบฏฮูตี (Houthi) ในเยเมนที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ได้ทวีความรุนแรงในการโจมตีอิสราเอลเมื่อเร็วๆ นี้ โดยยิงขีปนาวุธและโดรนพุ่งเป้าไปที่พื้นที่ใกล้กรุงเทลอาวีฟ (Tel Aviv) และภายในไม่กี่วัน พวกเขายังได้จมเรือสองลำในทะเลแดง ได้แก่ เรือ Eternity C และ Magic Seas ที่ดำเนินการโดยกรีก ซึ่งพวกเขาอ้างว่ามีความเชื่อมโยงกับอิสราเอล
การโจมตีที่ประสานงานกันเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถทางทหารที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มฮูตี (Houthi) และยุทธศาสตร์ที่กว้างขึ้นของอิหร่านในการกดดันอิสราเอลและสร้างความปั่นป่วนให้กับเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ การทวีความรุนแรงของความเป็นปรปักษ์นี้เพิ่มความเป็นไปได้ที่จะดึงสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ความขัดแย้งทางทหารโดยตรงในภูมิภาค
ความตึงเครียดยังคงสูงในภูมิภาค เนื่องจากอิหร่านยังคงเสริมสร้างขีดความสามารถทางทหารและกลุ่มตัวแทนเช่นกลุ่มฮูตี (Houthi) ทวีความรุนแรงในการโจมตีในภูมิภาค แม้เตหะรานจะแสดงความสนใจอย่างระมัดระวังในการเจรจาทางการทูต แต่ก็ไม่มีสัญญาณว่าจะยุติการพัฒนานิวเคลียร์หรือขีปนาวุธ ในขณะที่อิสราเอลยังคงมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามเหล่านั้น ด้วยแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในหลายแนวรบ ความเสี่ยงของการกลับมาเกิดความขัดแย้งโดยตรงยังคงเป็นจริง และอาจส่งผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์การเงินและการลงทุนในระดับโลกอย่างมีนัยสำคัญ
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.newsweek.com/iran-israel-return-war-united-states-2097273