EU ยังแพ้จีนต่อเนื่อง - สับสนทางยุทธศาสตร์

EU ยังแพ้จีนต่อเนื่อง - สับสนทางยุทธศาสตร์ นำไปสู่การโดดเดี่ยว-เสียโอกาสทางเศรษฐกิจ
4-8-2025
RT รายงานว่า การประชุมสุดยอดเศรษฐกิจระหว่างสหภาพยุโรป (EU) และจีนที่กรุงปักกิ่งเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ควรจะเป็นโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลก แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เวทีนี้กลับสะท้อนให้เห็นถึงความสับสนเชิงยุทธศาสตร์ที่กำลังย่ำแย่ของฝ่ายยุโรป และการเคลื่อนตัวของ EU สู่ความโดดเดี่ยวทางยุทธศาสตร์มากขึ้น
การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโลกที่อ่อนไหว ความร่วมมือซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการเชิดชูว่ามีแต่ด้านบวก และเป็นรากฐานแห่งการบูรณาการเศรษฐกิจโลก กลับกลายเป็นเชิงยุทธศาสตร์ เข้าสู่ความขัดแย้งจากแรงกดดันภายใน EU เอง และอิทธิพลที่สหรัฐฯ ครอบงำซึ่งยังคงหลอกหลอนยุโรปอย่างต่อเนื่อง วิฤตการณ์ในรอบปี — ทั้งโรคระบาดใหญ่ และสงครามยูเครน — ไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง แต่ยิ่งตอกย้ำให้เห็นภาวะพึ่งพาสหรัฐฯ ของ EU เพิ่มขึ้น
ขณะที่ทุกฝ่ายคาดหวังการต่อยอดหุ้นส่วนที่เคยเป็นเสาค้ำยันเศรษฐกิจโลก ผู้นำยุโรปกลับเดินเข้าสู่เวทีปักกิ่งพร้อมวาระเก่า โดยกล่าวโจมตีนโยบายการค้าจีน เตือนภัยเรื่อง “ภัยคุกคามความมั่นคง” รวมถึงเรียกร้องให้จีน “ควบคุมรัสเซีย” ปรากฏการณ์ซ้ำซากนี้จึงจบลงโดยปราศจากความคืบหน้า
**ยุทธศาสตร์สวนทาง: จากหุ้นส่วนสู่คู่แข่ง**
การแตกหักในความสัมพันธ์ EU-จีน ไม่อาจเข้าใจได้หากไม่ย้อนถึงจุดเปลี่ยนในปี 2019 เมื่อประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน (Ursula von der Leyen) ประกาศให้จีนเป็น “คู่แข่งขันเชิงระบบ” (Systemic rival) อย่างเป็นทางการ กลยุทธ์สายตระเวนและอคติแทนที่ความร่วมมือเชิงปฏิบัติการนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ผลลัพธ์ที่ชัดเจน: EU พยายามจำกัดการลงทุนจากจีน ออกมาตรฐานภาษีตอบโต้จำเพาะรถยนต์ไฟฟ้าจีนระดับสูง และเพิ่งประกาศผ่อนปรนบริษัทจีนจากการเข้าประมูลโครงการของรัฐที่มีมูลค่าเกิน 5 ล้านยูโร นอกจากนี้ การที่ EU ขยายมาตรการแซงก์ชั่นต่อรัสเซียโดยบรรจุธนาคารจีนอีกสองแห่งเข้าไป ชี้ชัดถึงความพร้อมของยุโรปที่จะใช้อาวุธเศรษฐกิจเพื่อจุดมุ่งหมายทางการเมือง
**Politics and Contradictions: EU ไม่รู้จะไปทางไหน**
ข้ออ้างหลักของ EU คือคำว่า “De-risking” หรือ “ลดความเสี่ยง” ด้วยการลดการพึ่งพาจีนในห่วงโซ่วัตถุดิบสำคัญ เทคโนโลยีชั้นสูง และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งในความเป็นจริง ไม่ต่างจากตำราสกัดกั้นของสหรัฐฯ แม้ว่าผู้นำยุโรปจะสำทับหนักแน่นเรื่อง “อิสรภาพยุทธศาสตร์”
ในการประชุม ณ กรุงปักกิ่ง เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน (Ursula von der Leyen) ออกตัวว่า EU ยังคงเปิดกว้างสำหรับความร่วมมือและการลงทุนจากจีน แต่คำพูดเหล่านั้นดูขัดแย้งกับคำเตือนล่าสุดของเธอบนเวทีจี 7 (G7) ถึง “China shock” และข้อกล่าวหาว่าปักกิ่งกำลังใช้อาวุธทางเศรษฐกิจ “Weaponizing trade”
ด้านผู้แทนการทูตสูงสุดของ EU คายา คัลลาส (Kaja Kallas) ก็โจมตีจีนว่าสนับสนุนให้สงครามยูเครนยืดเยื้อ รวมถึงทำสงครามไฮบริดกับยุโรป ความคลุมเครือในท่าทีนี้ยิ่งบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของยุโรปในสายตาปักกิ่ง
ความย้อนแย้งของ Brussels ยังอยู่ที่ ฝันใน “อธิปไตยเชิงยุทธศาสตร์” (Strategic autonomy) หากแต่ยังเดินตามทิศทางการเมืองสหรัฐฯ ต้องการ “ภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจ” แต่กลับบ่อนเซาะความสามารถแข่งขันของตนเองด้วยการตัดขาดห่วงโซ่อุปทาน ฝันอยากเป็นผู้นำโลก แต่กลับตัดขาดตัวเองออกจากหลายฝ่ายด้วยการเมืองแบบแพ้ชนะศูนย์รวม (Zero-sum geopolitics)
**จีนย้ำชัด: พร้อมร่วมมือบนพื้นฐาน Win-Win**
ในทางตรงกันข้าม จีนแสดงจุดยืนบนเวทีชัดเจนว่า ต้องการส่งเสริม “ความเสริมสร้างซึ่งกันและกัน” (Complementarity) ผลักดันการค้าเสรี และร่วมมือวิน-วินในเรื่องสำคัญระดับโลก เช่น ทรานส์ฟอร์มดิจิทัล พลังงานสะอาด การเชื่อมต่อสาธารณูปโภคสมัยใหม่ ปักกิ่งเน้นหนักเรื่องความร่วมมือใน AI พลังงานสะอาด และงานวิจัยวิทยาศาสตร์ โดยมองว่านี่คือหัวใจของการยกระดับยุคใหม่ทั้งสองฝ่าย
สำหรับจีน EU ยังถือเป็นคู่หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ไม่ใช่ “ศัตรู” ปักกิ่งสนับสนุนความเป็นปึกแผ่นของยุโรป และหนุนให้ EU เล่นบทบาทอิสระในเวทีโลก ชี้ว่าการมี Europe ที่แข็งแรง มีอิสระ เป็นกลไกค้ำยันต่อต้าน unilateralism และช่วยผลักดันระเบียบพหุภาคี ซึ่งเห็นต่างชัดเจนจากแนวทางวอชิงตันที่ต้องการ EU เป็นพันธมิตรในเส้นทางเดียวกับฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก
**สงครามยูเครน: จุดขัดแย้งที่ทำให้ความร่วมมือเป็นอัมพาต**
ประเด็นร้อนในสายสัมพันธ์ EU-จีน ยังคงเป็นสงครามยูเครน ซึ่ง EU กล่าวหาว่าการที่จีนสัมพันธ์ใกล้ชิดรัสเซียเท่ากับบั่นทอนความมั่นคงยุโรป ในขณะที่ปักกิ่งย้ำเจตจำนงเป็นกลาง ย้ำพร้อมมีบทบาท “เอื้อเฟื้อสันติภาพ” แต่ไม่ใช่การสะบัดมือทิ้งมอสโก
ในขณะที่ EU ยังยืนกรานจะให้จีน “ใช้อิทธิพล” กดดันรัสเซีย ภารกิจนี้ดูจะสวนทางกับ “ยุทธศาสตร์หุ้นส่วน” ของจีนและรัสเซียอย่างรากลึก จึงแทบเป็นไปไม่ได้ในทางการทูต
ท้ายที่สุด เดดล็อกเชิงภูมิรัฐศาสตร์นี้บดบังความร่วมมือเศรษฐกิจที่ควรเป็นวาระร่วมสำคัญ ตราบใดที่บริบทยูเครนยังถูกตีความเป็น “ภัยคุกคามอัตExistential” ความสัมพันธ์จีน-EU ก็จะยังติดหล่มท่ามกลางผลประโยชน์เศรษฐกิจมหาศาล
**ตัวเลขที่ตีแผ่: ความสัมพันธ์ที่มากกว่านโยบายอุดมการณ์**
แม้ความขัดแย้งทางการเมืองจะบาดลึก ตัวเลขสะท้อนความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง EU คือคู่ค้าอันดับหนึ่งของจีน ขณะที่จีนคือคู่ค้าอันดับสองของ EU ทั้งสองมหาอำนาจคิดเป็นกว่า 1 ใน 3 ของ GDP โลก และประมาณ 30% ของมูลค่าการค้าโลก การลงทุนข้ามแดนเกิน 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และใกล้เคียงกันทั้งสองฝ่าย
ตัวเลขเหล่านี้ชี้ว่า ความสัมพันธ์จีน-EU นั้นมีเดิมพันสูงกว่าการชิงดีชิงเด่นทางอุดมการณ์ เครือข่ายเศรษฐกิจสีเขียว นวัตกรรมดิจิทัล และซัพพลายเชนโลกจะเดินหน้าต่อไม่ได้ หากขาดความร่วมมือกัน
**บทสรุป: ความคลุมเครือของ Brussels กำลังย้อนศร**
แม้จะประกาศ “ปรับสมดุล” และ “ลดความเสี่ยง” แต่ยุทธศาสตร์ EU ในทางปฏิบัติกลับเสี่ยงเขยิบกลุ่มเข้าสู่วงล้อมตัวเอง ด้วยการ “ความมั่นคงเพื่อสหรัฐฯ” มากกว่าผลักดันผลประโยชน์ตนเอง ผลลัพธ์คือ การตัดขาดหุ้นส่วนสำคัญไปทั่วโลก การแข่งขันก็อ่อนแรง ความสามารถกำหนดกติกาโลกก็ลดต่ำลง
สำหรับจีน บทเรียนสำคัญคือ EU ยังไม่พร้อม “รีเซต” ความสัมพันธ์ Beijing จะเดินหน้าสานสัมพันธ์ช่องทางเศรษฐกิจ แต่ไม่คาดหวังความคืบหน้าในเร็ววัน ในระยะยาว แสงสว่างของหุ้นส่วน “แฟร์” อาจต้องอาศัยผู้นำยุโรปที่พร้อมเปลี่ยนวิถีคิดจากการเมืองอุดมการณ์มาสู่การพัฒนาเชิงปฏิบัติ
สุดท้ายนี้ การประชุมสุดยอดที่ควรต่อยอดโอกาส กลับยิ่งเน้นย้ำเส้นทางสองแพร่งอันแสนแตกต่าง และ “สิ่งที่กำลังเสี่ยงสูญเสีย”: สองยักษ์พันธมิตรเศรษฐกิจที่ความร่วมมือหรือขัดแย้งกันแค่ประเด็นเดียว จะกำหนดหน้าตาเศรษฐกิจโลกในอีกหลายทศวรรษ
จีนประกาศชัดพร้อมเดินหน้าสู่ระเบียบโลกพหุภาคี และพันธกิจพัฒนาแบบเปิดกว้าง ส่วน EU จะสามารถทลายความหวาดกลัวของตนเอง และเดินหน้าเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์กับปักกิ่งหรือไม่ ยังต้องจับตา หากยังหมกมุ่นกับ “de-risking” เกินเหตุ อาจจบด้วยเส้นทางขาลงที่สร้างขึ้นเอง
----
IMCT NEWS
ที่มา https://www.rt.com/news/622407-china-eu-economic-summit/