ทรัมป์บีบอินเดีย เลือกข้างรัสเซียหรือสหรัฐฯ?

ทรัมป์บีบอินเดีย เลือกข้างรัสเซียหรือสหรัฐฯ? กระทบสมดุลสัมพันธ์ทั้งมอสโก-วอชิงตัน
5-8-2025
ASPI รายงานว่า สหรัฐฯ ส่งสัญญาณแข็งกร้าว: 'ทรัมป์' ขู่คว่ำบาตรประเทศซื้อน้ำมันและอาวุธจากรัสเซีย กระทบอินเดียโดยตรง รัฐบาลอินเดียกำลังเผชิญแรงกดดันใหม่จากการซื้อน้ำมันและอาวุธจากรัสเซีย (Russia) ซึ่งส่งผลให้สายสัมพันธ์กับสหรัฐฯ (United States) ส่อแววตึงเครียดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในช่วงรัฐบาลทรัมป์ (Donald Trump) สมัยแรก อินเดียและสหรัฐฯ ยังสามารถบริหารความสัมพันธ์ภายใต้ความซับซ้อนของข้อผูกพันกับรัสเซียได้อย่างระมัดระวัง แต่การเปลี่ยนแปลงจุดยืนของทรัมป์ต่อรัสเซีย และความไม่พอใจต่อสงครามยูเครนที่ยังไร้ข้อยุติ ได้ส่งผลให้รัฐบาลนิวเดลีต้องปรับกลยุทธ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ความสัมพันธ์อินเดีย-รัสเซียเคยเป็นโจทย์ใหญ่ในยุครัฐบาลไบเดน (Joe Biden) แม้ทั้งนิวเดลีและวอชิงตันต่างพยายามรักษาสมดุล แต่ปัญหานี้ไม่เคยหายไปโดยสิ้นเชิง ขณะเดียวกัน อินเดียเคยประเมินว่าทรัมป์จะมีจุดยืนสนับสนุนมอสโกจนคลี่คลายปมร้าวเก่า ๆ ได้ แต่หลังจากนั้นปัญหากลับย้อนมาใหม่ โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์ไม่พอใจที่อินเดียยังค้านไม่เลิกกับการซื้อน้ำมันจากรัสเซียท่ามกลางมาตรการคว่ำบาตรของตะวันตก และอาจเดินหน้ากดดันใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อประเทศที่ยังซื้อพลังงานจากรัสเซียต่อไป หากไร้การบริหารจัดการที่ดี สถานการณ์นี้อาจบั่นทอนความสัมพันธ์อินเดีย-สหรัฐฯ ได้
อินเดียกับสหรัฐฯ ใช้เวลานับสองทศวรรษและทุนทางการเมืองมหาศาล พัฒนาความเชื่อมั่นเชิงยุทธศาสตร์อย่างรัดกุม แม้ก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐฯ จะผ่อนปรนท่าที เพราะเข้าใจถึงข้อจำกัดเชิงประวัติศาสตร์ของอินเดียที่ยังต้องอาศัยระบบยุทโธปกรณ์จากรัสเซีย ซึ่งขับเคลื่อนมายาวนาน
อย่างไรก็ตาม ช่วง 15 ปีที่ผ่านมา อินเดียได้ขยายฐานการจัดซื้ออาวุธจากชาติกลุ่มตะวันตกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ฝรั่งเศส (France) หรืออิสราเอล (Israel) จากข้อมูลสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (Stockholm International Peace Research Institute: SIPRI) อาวุธรัสเซียมีสัดส่วน 36% ของอาวุธนำเข้าอินเดียในปี 2020-2024 ลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับ 55% ในปี 2015-2019 และ 72% ในปี 2010-2014 ข้อมูล SIPRI ฉบับล่าสุดย้ำว่าอินเดียกำลังขยับฐานยุทโธปกรณ์ไปยังฝ่ายตะวันตก ทั้งคำสั่งซื้ออาวุธปัจจุบันและในอนาคต
ขณะเดียวกัน อินเดียกลับเพิ่มปริมาณนำเข้าพลังงานจากรัสเซียอย่างมีนัยสำคัญ โดยศูนย์วิจัยด้านพลังงานและอากาศสะอาด (Centre for Research on Energy and Clean Air) รายงานว่า เพียงสองปีหลังสงครามยูเครน อินเดียนำเข้าพลังงานจากรัสเซียรวมมูลค่า 205.84 พันล้านยูโร หรือจากที่เคยต่ำกว่า 1% ของการนำเข้าน้ำมันดิบทั้งหมด กลายเป็น 40% ในช่วงสั้น ๆ
แม้ในยุครัฐบาลไบเดน อินเดียจะไม่ค่อยสนับสนุนแนวทางของพันธมิตรชาติตะวันตกมากนัก นิวเดลียังคงรักษาจุดยืนความเป็นกลางทางยุทธศาสตร์ และไม่ร่วมกับพันธมิตร Quad ในการประณามรัสเซีย ระบุว่าอินเดียยึดหลักอธิปไตยเชิงยุทธศาสตร์และนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ทว่ารัฐบาลทรัมป์ดูเหมือนจะหมดความอดทน เร่งเร้าให้อินเดียทบทวนทางเลือก และประชาชนอินเดียจำนวนมากมองว่าทรัมป์ไม่เข้าใจบริบทความละเอียดอ่อนในภูมิภาค ทั้งยังอ้างว่าเคย “ไกล่เกลี่ย” ข้อขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถาน (Pakistan) หลายครั้ง ซึ่งรัฐบาลอินเดียปฏิเสธมาตลอด มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจที่ทรัมป์ประกาศต่ออินเดีย ยิ่งกระตุ้นให้ทั้งฝ่ายซ้ายและขวาของอินเดียจับมือคัดค้านสหรัฐฯ มากขึ้น กลายเป็นปมท้าทายที่รัฐบาลนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) ต้องรับมือ
เจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดียให้ข้อมูลว่า อินเดียยังคงดำเนินนโยบาย “สุขุม รอบคอบ เป็นมืออาชีพ” โดยยังไม่มีการขู่ตอบโต้ด้วยการตั้งภาษี ศุลกากรหรือมาตรการใดต่อสหรัฐฯ ฝ่ายอินเดียยังมีความหวังว่าการเจรจาเขตการค้าเสรีจะเดินหน้าต่อไป พร้อมตั้งเป้าขยายการค้าสองฝ่ายจาก 200,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 500,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030
อย่างไรก็ตาม อินเดียยังต้องระวังภัยระยะยาวจากจีน (China) การเปลี่ยนขั้วสัมพันธ์รัสเซีย-จีนที่แน่นแฟ้นขึ้นอาจสร้างข้อจำกัดด้านยุทธศาสตร์มากกว่าที่อินเดียประเมินไว้ มุมมองของนักวิเคราะห์ย้ำว่าหากรัสเซียต้องเลือกข้าง รัสเซียจะอยู่กับจีนมากกว่าอินเดีย ดังนั้น อินเดียต้องดำเนินกลยุทธ์รอบคอบและไม่ประเมิน China-Russia Partnership ต่ำเกินไป ท่ามกลางแรงกดดันที่โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ผลักมาเป็นโจทย์ใหม่
----
IMCT NEWS
ที่มา https://www.aspistrategist.org.au/trump-forces-india-to-confront-its-russia-problem/?fbclid=IwY2xjawL9evJleHRuA2FlbQIxMQABHjspuGg7y5z6v7kGpXDNYwzT-x_Zwm_QxhXqtQO84oemPIRoyb3ZOsfJjYMh_aem_n3FgTwfHfzonZFKGxHbEsQ