ญี่ปุ่นกังวล“ทรัมป์”เสี่ยงถูกทอดทิ้ง-ลากเข้าสงคราม

ญี่ปุ่นกังวล “ทรัมป์” ทั้งเสี่ยงถูกทอดทิ้งและถูกลากเข้าสงคราม ท่ามกลางดีลจีน-สหรัฐฯ กับวิกฤตไต้หวัน
5-8-2025
Asia Times รายงานว่า ความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯ (United States) กับญี่ปุ่น (Japan) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพันธมิตรแนวหน้า และถูกยกย่องว่าใกล้ชิดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งสำคัญในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หลังโตเกียวถูกบีบให้ต้องระแวดระวังทั้งภัย “ถูกทอดทิ้ง” (abandonment) จากพันธมิตร และ “ถูกดึงไปร่วมศึก” (entrapment) ตามเกมมหาอำนาจที่ตนเองไม่ได้เลือก
ความกลัว “entrapment” การถูกลากเข้าสงครามที่ตนเองไม่ได้ริเริ่ม โดยต้องยืนเคียงข้างสหรัฐฯ หวนกลับมาหลังมีรายงานว่ากระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ บีบทั้งญี่ปุ่นและออสเตรเลียต้องให้คำมั่นชัดเจนว่า “จะร่วมปกป้องไต้หวันหากจีนรุกล้ำ” แม้แต่ในสถานการณ์ที่ทำเนียบขาวเองยังไม่ได้ยืนยันท่าทีทางการอย่างเป็นรูปธรรม
ในอดีตรัฐบาลไบเดน (Biden) เคยหารือกับญี่ปุ่นและออกถ้อยแถลงร่วมว่า ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันประคับประคองเสถียรภาพไต้หวัน แต่สำหรับโตเกียว การแถลงใจร่วมไม่เทียบเท่าการ “มอบคำมั่นจะลุยสงคราม” ซึ่งอาจสร้างความร้าวลึกกับจีนโดยไร้เหตุอันควร โดยเฉพาะในรัฐบาลที่อ่อนแอด้านเสียงข้างมากในรัฐสภาอย่างในขณะนี้
ส่วนความกลัวภัย “abandonment”ถูกทอดทิ้งจากพันธมิตรแม้ในอดีตจะถูกประเมินว่ามีโอกาสเกิดต่ำ เพราะฐานทัพในญี่ปุ่นเป็นกุญแจสำคัญต่อยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ แต่ความผันผวนเชิงนโยบายและอิทธิพลแนวคิด “spheres of influence” ยุคศตวรรษที่ 19 ที่ทรัมป์ยึดถือ (จากกรณีแสดงความสนใจอยากเข้าควบคุมกรีนแลนด์ หรือแคนาดา) ทำให้ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ที่สหรัฐฯ จะตัดดีลสงบศึกกับจีนปล่อยอิทธิพลจีนในไต้หวันและทะเลจีนใต้ แลกกับผลประโยชน์อื่นฝั่งสหรัฐฯ
แนวโน้มนี้ยิ่งฉายภาพชัดว่ารัฐบาลพันธมิตรเก่าแก่ของสหรัฐฯ ทั่วโลกต่างต้องก็เกาะกระแสความไม่แน่นอน ทั้งจากบุคลิกส่วนตัวของทรัมป์และแนวโน้มเชิงโครงสร้างที่อาจสืบทอดในสังคมการเมืองอเมริกันยุคต่อไป ญี่ปุ่นจึงต้องยกระดับความร่วมมือ ทั้งกับสหรัฐฯ ผ่านยุทธศาสตร์ป้องกันใหม่ที่ริเริ่มตั้งแต่นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ (Shinzo Abe) และต่อเนื่องมาถึงยุทธศาสตร์ความมั่นคงฉบับใหม่ยุคฟูมิโอะ คิชิดะ (Fumio Kishida) เพื่อสร้างศักยภาพป้องปราม เพิ่มออปชั่นรับมืออนาคตที่ความสัมพันธ์อาจเปราะบางกว่าทุกยุค
อีกแนวทางที่ได้รับการผลักดัน คือการลงทุนใน “กลยุทธ์ทูตพหุภาคี”เชื่อมสัมพันธ์และบทบาทกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและใต้ เช่น เกาหลีใต้, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และไต้หวัน เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง ขยายภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจความมั่นคง และบรรเทาผลกระทบ “ไต้ฝุ่นทรัมป์” ในอนาคต
ทุกชาติเหล่านี้เผชิญแรงบีบจากสหรัฐฯ ทั้งในประเด็นการค้าและความมั่นคง รวมถึงการต้องลงทุนในงานป้องกันประเทศมากขึ้น ท่ามกลางอิทธิพลกดดันคู่ขนานจากจีน สองมหาอำนาจที่ต่างไม่อาจมองข้าม แต่ก็มีแนวโน้มกดทับพันธมิตรขนาดกลางให้กลายเป็นเครื่องมือ “ต่อรอง” ในเกมอำนาจ
บทสรุปคือ ญี่ปุ่นต้องรับมือกับ “วงจรกลัวซ้อนกลัว” ทั้งถูกทิ้งและติดหล่มรบ และจะไม่อาจขจัดให้หมดไปได้ แต่การผลักดันพันธมิตรกับเพื่อนบ้านและพหุภาคีในภูมิภาค ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการสร้างอำนาจต่อรองในยุคที่ความผันผวนจากวอชิงตันไม่อาจคาดเดา
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/08/japan-fears-both-trump-abandonment-and-entrapment/