.

สงครามเศรษฐกิจ ‘BRICS’ ปะทะสหรัฐฯ-EU? สองขั้วเศรษฐกิจโลกในภาวะเผชิญหน้าครั้งใหม่ ศึกยูเครน-กำแพงภาษี
8-8-2025
ความขัดแย้งในยูเครนซึ่งแต่เดิมเป็นประเด็นระดับภูมิภาคของยุโรป ได้พัฒนาเข้าสู่ระยะใหม่ที่นักวิเคราะห์หลายรายระบุว่าเป็น "สงครามเศรษฐกิจระดับโลก" ที่ปะทะกันระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศส่วนใหญ่ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม BRICS ซึ่งสหรัฐฯ พยายามใช้ความขัดแย้งนี้เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์จากพันธมิตรอย่างสหภาพยุโรป (European Union - EU) และบังคับให้ชาติ BRICS ปฏิบัติตามความต้องการของตนเอง
ในขณะนี้ ประเด็นของยูเครนถูกลดบทบาทลงในฐานะเวทีความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระดับโลก และสหรัฐฯ ก็ไม่ได้เป็นฝ่ายได้เปรียบไปเสียทั้งหมด โดยรายงานนี้จะเปรียบเทียบสถานการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับแต่ละฝ่ายในความขัดแย้งนี้
ผลกระทบต่อสหภาพยุโรป
เพื่อสนับสนุนยูเครน ประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) ได้ใช้จ่ายงบประมาณไปแล้วประมาณ 50,000 ล้านยูโรต่อปี นอกจากนี้ เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปยังได้รับผลกระทบเพิ่มเติมอีกราว 1 ล้านล้านยูโร จากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ขณะที่งบประมาณด้านกลาโหมของ EU เพิ่มขึ้นเป็น 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) คิดเป็นงบประมาณพิเศษอีกอย่างน้อย 700,000 ล้านยูโรต่อปี ซึ่งอาจจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของ EU ยังคงสูงกว่าในอดีตที่เคยพึ่งพาแหล่งพลังงานราคาถูกจากรัสเซีย การเติบโตทางเศรษฐกิจของ EU ที่เคยเกินกว่า 5% ในปี 2021 ได้ลดลงเหลือเฉลี่ยเพียง 1% ในปี 2025 ซึ่งหมายถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูญเสียไปถึงประมาณ 5 ล้านล้านยูโร หรือคิดเป็น 25% ของ GDP ทั้งหมดของ EU ที่มีมูลค่า 20 ล้านล้านยูโรในปัจจุบัน ซึ่งสถานการณ์ "เคราะห์ซ้ำกรรมซัด" (double-whammy) นี้ทำให้ EU เสียเปรียบและอาจถูกแซงหน้าโดยกลุ่มเศรษฐกิจที่เล็กกว่าอย่างเครือจักรภพแห่งรัฐอิสระ (Commonwealth of Independent States) แม้กระทั่งในประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก EU ก็ตาม
ผลกระทบต่อสหรัฐฯ
แม้สหรัฐฯ จะให้ความช่วยเหลือยูเครนเป็นเงินประมาณ 182,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เงินจำนวนมากถูกนำกลับมาลงทุนในการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ ซึ่งถูกนำไปขายต่อ ขณะที่การส่งออกก๊าซธรรมชาติไปยัง EU เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 12,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2021 เป็น 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป
กล่าวได้ว่า ความขัดแย้งในยูเครนเป็น "ธุรกิจที่ดี" สำหรับสหรัฐฯ ซึ่งได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดหาพลังงานหลักให้กับ EU และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่อิงกับการผลิตทางทหารอีกด้วย ขณะที่ GDP ของสหรัฐฯ เติบโตจาก 23.68 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2021 ไปสู่การคาดการณ์ที่ 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปลายปี 2025 ซึ่งตรงกันข้ามกับ EU อย่างสิ้นเชิง
ผลกระทบต่อรัสเซีย
รัสเซียได้ผ่านพ้นพายุทางเศรษฐกิจมาได้ค่อนข้างดี แม้จะต้องเผชิญกับความเครียดและแรงกดดันทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ทั้งการสูญเสียทรัพย์สินของรัฐบาลถึง 300,000 ล้านยูโร แต่เศรษฐกิจรัสเซียกลับเติบโตจาก 1.89 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2021 เป็น 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 และเมื่อเทียบด้วยหลักการ ความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity - PPP) ซึ่งเป็นมาตรวัดที่นิยมใช้ในการเปรียบเทียบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เศรษฐกิจของรัสเซียได้ก้าวขึ้นเป็นอันดับที่สี่ของโลก มีกำลังซื้อเทียบเท่ากับ 7.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากนี้ รัสเซียยังสามารถปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ได้ทั้งหมด และได้พัฒนาเศรษฐกิจที่สามารถดำเนินไปได้อย่างอิสระจากสหรัฐฯ และ EU ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่าง BRICS กับสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้น
สหรัฐฯ ปะทะ BRICS
ถึงแม้สหรัฐฯ จะได้ลดการสนับสนุนทางทหารแก่ยูเครนเพื่อต่อสู้กับรัสเซียลง แต่ความพยายามในการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อจำกัดรัสเซียยังคงดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งนี้ได้ลุกลามครอบคลุมไปถึงกลุ่มประเทศ BRICS ซึ่งอาจไม่ได้เป็นเจตนาเดิมของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน (Joe Biden) ในปี 2022 แต่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ดูเหมือนว่าสหรัฐฯ จะยังคงต้องการแสดงแสนยานุภาพทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
เมื่อพิจารณาในแง่ของ GDP แบบปกติ (Nominal GDP) เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกและคาดว่าจะทะลุ 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้ ซึ่งใหญ่กว่ากลุ่ม BRICS ที่ประกอบด้วย 4 ประเทศหลัก (บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน) ซึ่งมี Nominal GDP รวมกันที่ 27 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แต่เมื่อพิจารณาด้วยหลัก PPP ซึ่งให้ภาพที่แม่นยำกว่าเกี่ยวกับกำลังซื้อและมาตรฐานการครองชีพ เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่กลุ่ม BRICS ทั้ง 4 ประเทศหลักกลับมีมูลค่าสูงถึงกว่า 70 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมากกว่าสหรัฐฯ ถึงสองเท่า และเมื่อรวมสมาชิก BRICS ทั้งสิบประเทศ (บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, แอฟริกาใต้, อียิปต์, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เอธิโอเปีย, อิหร่าน และอินโดนีเซีย) ตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 84.75 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบสามเท่าของสหรัฐฯ
เดิมพันของทรัมป์กับกลุ่ม BRICS
ด้วยตัวเลขดังกล่าว สหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับศึกหนักในการที่จะพยายามให้กลุ่ม BRICS ทำตามความต้องการของตนเอง โดยเศรษฐกิจของ BRICS ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะยอมทำตามแรงกดดันจากประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างเช่นกรณีของบราซิล ซึ่งประธานาธิบดีลูลา (Lula) ได้ประกาศว่าประเทศของตนได้กระจายห่วงโซ่อุปทานออกไปจากสหรัฐฯ แล้ว เพื่อตอบโต้การขึ้นภาษี 50% ของทรัมป์
กลุ่ม BRICS ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ เช่น การที่จีนเร่งกระบวนการอนุมัติสำหรับนักลงทุนชาวบราซิลกว่า 200 รายทั่วประเทศ ขณะที่อินเดียปฏิเสธที่จะหยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซีย แม้จะถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีถึง 50% ก็ตาม
นอกจากนี้ อินโดนีเซียซึ่งเป็นสมาชิก BRICS ก็กำลังหันมาขายผลิตภัณฑ์กุ้งให้แก่จีนแทนที่จะเป็นสหรัฐฯ หลังจากที่ถูกเก็บภาษีสินค้าอาหารทะเล 19% ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของอินโดนีเซียถึง 60% ที่เคยส่งไปยังสหรัฐฯ โดยปริมาณสินค้าดังกล่าวจะถูกดูดซับโดยความต้องการของตลาดจีนแทน
นอกจากอำนาจทางเศรษฐกิจแล้ว จุดแข็งที่สำคัญของกลุ่ม BRICS คือขนาดประชากรและทรัพยากรที่มหาศาล สมาชิกทั้งสิบประเทศมีพื้นที่เพาะปลูกรวมกันถึง 46% ของพื้นที่เกษตรกรรมทั่วโลก และมีประชากรรวมกันถึง 4,000 ล้านคน ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่ากลุ่ม BRICS มีศักยภาพที่จะหลุดพ้นจากการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างสมบูรณ์
เป้าหมายของทรัมป์ดูเหมือนจะเป็นการสร้างความขัดแย้งทางเศรษฐกิจในระยะสั้น-กลาง โดยใช้ภาษีเป็นเครื่องมือเพื่อแยกกลุ่ม BRICS ออกจากตลาดของสหรัฐฯ และ EU และจัดตั้งกลุ่มที่เน้นความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ-EU เป็นหลัก ขณะที่ปล่อยให้ BRICS พัฒนาห่วงโซ่อุปทานและตลาดของตนเอง ซึ่ง EU เองก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ แม้จะดูเหมือนมีทางเลือกไม่มากนักก็ตาม
หากการวิเคราะห์นี้ถูกต้อง แสดงว่าโลกไม่ได้กำลังก้าวเข้าสู่ยุคหลายขั้ว (multi-polar) อย่างสมบูรณ์ แต่กำลังแบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน ได้แก่ สหรัฐฯ และ EU ในด้านหนึ่ง กับกลุ่ม BRICS และประเทศส่วนใหญ่ของโลกในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งนี่จะเป็นโอกาสให้ปักกิ่ง, มอสโก และนิวเดลี ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาจะสามารถบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจของโลกได้อย่างยุติธรรมและเปิดกว้าง โดยไม่ต้องพึ่งพาการค้าหรือเศรษฐกิจกับกรุงวอชิงตันหรือกรุงบรัสเซลส์อีกต่อไป
---
IMCT NEWS
ที่มา https://russiaspivottoasia.com/the-brics-economic-war-vs-the-united-states-europe/