.

ซิลเวอร์ทะลุ 50 ดอลลาร์ต่อออนซ์: อะไรคือก้าวต่อไปของโลหะมีค่าชนิดนี้?
11-10-2025
ในภาวะการพุ่งขึ้นของราคาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นักลงทุนต่างเฉลิมฉลองอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในตลาดโลหะมีค่า โดยราคาซิลเวอร์ (เงิน) พุ่งทะลุ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่
สำหรับนักวิเคราะห์จำนวนมาก ความสำเร็จของราคาซิลเวอร์ถือว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากตลาดกำลังเติบโตอย่างเต็มที่ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคในภาคอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง และความต้องการลงทุนที่ฟื้นตัวขึ้น ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ยังชี้ว่า การที่ราคาทองคำพุ่งแตะระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็ช่วยดันให้ราคาซิลเวอร์ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากนักลงทุนมองหาความคุ้มค่าในภาคสินทรัพย์โลหะมีค่า
“ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐทำหน้าที่เหมือนแม่เหล็กมาหลายเดือนแล้ว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความร้อนแรงของราคาทองคำ” โอเล่ แฮนเซ่น หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์จาก Saxo Bank กล่าว
“ซิลเวอร์ถือเป็นเวอร์ชันเบต้า (Beta) สูงของทองคำ—มีพฤติกรรมการเคลื่อนไหวคล้ายกัน แต่รุนแรงกว่ามาก—หมายความว่าเมื่อราคาทองขยับ ราคาซิลเวอร์ก็มักจะขยับแรงกว่า”
แม้ว่าจะถอยลงจากจุดสูงสุดระหว่างวัน ราคาซิลเวอร์ล่าสุดอยู่ที่ 49.03 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 0.44% อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นของการซื้อขายในอเมริกาเหนือ ราคาซิลเวอร์เคยพุ่งแตะ 51.24 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ขณะที่ทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่ในแง่ตัวเลข (nominal) แม้เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อแล้ว แต่ราคาซิลเวอร์ในครั้งนี้ยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดในปี 1980 อยู่มาก โดยมีมูลค่าเพียงประมาณหนึ่งในสี่ของระดับนั้น
ราคาซิลเวอร์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 70% ตั้งแต่ต้นปีนี้ และยังคงแซงหน้าทองคำ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่อัตราส่วนทอง/เงิน (gold/silver ratio) ปัจจุบันอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งปี ราว 81 จุด โดยในช่วงต้นของการซื้อขาย อัตราส่วนเคยลดลงมาแตะระดับ 78.68 จุด
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ความต้องการลงทุนในซิลเวอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนเริ่มเห็นคุณค่าที่เพิ่มขึ้นของซิลเวอร์ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความไม่สมดุลของอุปสงค์-อุปทานที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินเป็นวัตถุดิบหลัก
“การพุ่งทะยานของราคาซิลเวอร์สู่ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐ — เพิ่มขึ้นถึง 71% ตั้งแต่ต้นปี — ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยการเก็งกำไรเหมือนในปี 1980 แต่เกิดจากแรงผลักดันที่แข็งแกร่งในโลกแห่งความเป็นจริง” พอล วิลเลียมส์ กรรมการผู้จัดการของ Solomon Global ผู้จัดจำหน่ายทองคำและเงินกล่าว
“ทั้งการขาดแคลนเชิงโครงสร้างที่ลึกขึ้น ความต้องการเชิงอุตสาหกรรมที่ทำสถิติสูงสุด (แตะระดับ 680.5 ล้านออนซ์ในปี 2024) และการเร่งลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว กำลังบีบซัพพลายให้ตึงตัวและผลักดันราคาขึ้นต่อเนื่อง”
แม้ซิลเวอร์จะไม่ได้มีคุณสมบัติในการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเต็มรูปแบบเหมือนทองคำ แต่บทบาทสองด้านของมัน—ในฐานะโลหะอุตสาหกรรมและที่เก็บมูลค่า—ยังคงดึงดูดนักลงทุนที่มองหาทั้งเสถียรภาพและโอกาสในการเติบโต
เมื่อซิลเวอร์แตะระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ คำถามที่หลายคนเริ่มตั้งก็คือ แนวโน้มขาขึ้นนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน?
วิลเลียมส์ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะจินตนาการว่าซิลเวอร์จะไปถึง 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในสิ้นปี 2026 เนื่องจากความต้องการในภาคอุตสาหกรรมยังไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัว
ด้าน เดวิด มอร์ริสัน นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสจาก Trade Nation กล่าวว่าตามตัวชี้วัดทางเทคนิคในขณะนี้ ทั้งซิลเวอร์และทองคำต่างอยู่ในสถานะ “ซื้อเกิน” (Overbought) แต่ก็เสริมว่า นักลงทุนดูเหมือนไม่ได้ให้ความสนใจในจุดนี้เท่าไหร่เมื่อพิจารณาจากแรงส่งในปัจจุบัน
“นี่คือระดับราคาที่สำคัญมากสำหรับซิลเวอร์ และเป็นไปได้ว่าราคาจะเผชิญกับแรงต้านค่อนข้างมากในบริเวณนี้ แต่เทรดเดอร์หลายคนก็สังเกตว่าในเดือนกันยายน ราคาทะลุระดับ 40 และ 45 ดอลลาร์ได้อย่างง่ายดาย และกลุ่มฝั่งซื้อ (Bulls) ก็หวังว่าจะเกิดภาพซ้ำอีกครั้ง ตอนนี้โทนของตลาดยังคงเป็นบวก และการเคลื่อนไหวของราคาก็ชี้ให้เห็นว่า ผู้ซื้อยังคงควบคุมเกมอยู่” เขากล่าว
แฮนเซ่น เสริมว่าการปรับขึ้นล่าสุดของซิลเวอร์แสดงให้เห็นว่า มูลค่าในภาคโลหะมีค่ากำลังเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น เขาเสริมว่า ราคาทองคำ — ซึ่งร่วงลงมาต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันพฤหัสบดี — อาจมีบทบาทในการกำหนดทิศทางระยะสั้นถัดไปของซิลเวอร์
“ซิลเวอร์ไม่ได้ถูกอีกต่อไปเมื่อเทียบกับทองคำ โดยอัตราส่วนทองคำ-ซิลเวอร์ (Gold-Silver Ratio) ขณะนี้กลับมาอยู่ในระดับเฉลี่ยรอบ 10 ปี หรือแม้กระทั่งต่ำกว่าระดับ 81 ออนซ์ต่อทองคำ 1 ออนซ์” เขากล่าว
“อีกไม่กี่วันข้างหน้าเราจะได้รู้ว่า นี่คือ ‘โชคดีครั้งที่สาม’ หรือว่า 50 ดอลลาร์จะกลายเป็นเพดานราคาครั้งใหญ่อีกครั้ง ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่า ทองคำยังมีแรงขับเคลื่อนพอจะไปต่อ หรือถึงเวลาของการปรับฐานระยะยาวที่รอคอยกันมานาน”
ที่มา Kitco News