.
                            
                            
“เตหะรานชี้เกิด ‘สงครามระดับภูมิภาคจริง’ กับอิสราเอล – ปฏิเสธการเจรจากับสหรัฐฯ”
4-11-2025
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านระบุว่า ขณะนี้ภูมิภาคกำลังเผชิญกับ “สงครามจริง” กับระบอบการปกครองอิสราเอล ย้ำว่าสถานการณ์ได้ลุกลามเกินกว่าขั้นของการข่มขู่แล้ว ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ที่กรุงเตหะรานเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นายเอสมาอิล บักกาอี (Esmaeil Baghaei) กล่าวว่า ไม่มีประเทศใดในภูมิภาคสงสัยอีกต่อไปว่าภัยคุกคามหลักนั้นมาจากระบอบไซออนนิสต์
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “การใช้คำว่า ‘ภัยคุกคาม’ อาจไม่ถูกต้องนัก เพราะขณะนี้เรากำลังอยู่ในสงครามระดับภูมิภาคจริง ๆ กับระบอบไซออนนิสต์”
เขาอธิบายว่า คำว่า “ภัยคุกคาม” หมายถึงการกระทำที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ในความเป็นจริงตลอดเวลากว่าสองปีที่ผ่านมา มีการ “สังหารหมู่ประชาชนในปาเลสไตน์อย่างโหดเหี้ยม” รวมถึงการโจมตีประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคและการยึดครองที่ยังคงดำเนินต่อไป
บักกาอีกล่าวว่า ขณะนี้มีฉันทามติในระดับภูมิภาคที่ชัดเจนในสองประเด็น คือ หนึ่ง ระบอบการปกครองอิสราเอลคือภัยคุกคามหลัก และสอง ประเทศในภูมิภาคจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจร่วมกันและข้อตกลงเพื่อรักษาความมั่นคงของตนเอง
เขายังได้กล่าวถึงข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซาที่มีสหรัฐฯ เป็นคนกลาง โดยระบุว่า แม้จะมีการใช้คำว่า “การละเมิดข้อตกลงหยุดยิง” แต่ในความเป็นจริงแล้วคือ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการทำลายล้างชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์อย่างต่อเนื่อง”
เขาชี้ว่า นับตั้งแต่เริ่มการเจรจาหยุดยิง มีชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารไปแล้วกว่า 200 คน และบาดเจ็บมากกว่า 600 คน พร้อมกล่าวว่าผู้ค้ำประกันข้อตกลงหยุดยิงต้องรับผิดชอบต่อสถานการณ์ดังกล่าว
บักกาอียังได้เน้นย้ำถึงจำนวนผู้สื่อข่าวที่ถูกสังหารในเหตุโจมตีฉนวนกาซาที่สูงเป็นประวัติการณ์ ราว 270 คน โดยระบุว่าตัวเลขนี้เพียงอย่างเดียวก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่สงคราม แต่คือ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างเต็มรูปแบบ”
เขาเตือนว่า การเพิกเฉยของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และผู้สนับสนุนหลักของระบอบอิสราเอล ทำให้อิสราเอลยิ่งกล้ากระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องรับโทษ
“ยังไม่มีข้อความอย่างเป็นทางการจากสหรัฐฯ”
ในการตอบคำถามเกี่ยวกับการเจรจากับสหรัฐฯ นายเอสมาอิล บักกาอี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ชี้แจงว่ายังไม่ได้รับข้อความอย่างเป็นทางการจากฝ่ายอเมริกันผ่านทางประเทศโอมาน
ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน นายอับบาส อารักชี (Araghchi) ได้กล่าวว่า เตหะรานพร้อมเปิดการเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ แต่จะ ไม่ยอมเปิดการเจรจาใด ๆ เกี่ยวกับขีปนาวุธของตน
บักกาอีกล่าวเพิ่มเติมว่า แม้คนกลางจะยังคงพยายามแลกเปลี่ยนข้อความระหว่างสองฝ่าย แต่ “สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่ากระบวนการเจรจาระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วแต่อย่างใด” เขากล่าวว่า “อิหร่านถูกโจมตีในขณะที่กำลังดำเนินการทางการทูตอยู่ ประชาชนอิหร่านไม่มีวันลืมเหตุการณ์นี้ได้” โดยอ้างถึงการรุกรานของสหรัฐฯ และอิสราเอลเมื่อเดือนมิถุนายน ซึ่งส่งผลให้มีผู้บัญชาการระดับสูง นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ และพลเรือนจำนวนมากเสียชีวิต
บักกาอีกล่าวต่อว่า สหรัฐฯ ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ยึดมั่นในหลักของการเจรจาอย่างมีเหตุผล และการพูดคุยใด ๆ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายยอมรับผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
นักการทูตอิหร่านรายนี้ยังได้วิจารณ์สหรัฐฯ และชาติตะวันตกอย่างรุนแรงต่อจุดยืน “ที่น่าเสียใจ” และ “กลับกลอก” ในประเด็นนิวเคลียร์ โดยกล่าวหาว่าพวกเขาละเมิดพันธกรณีตามสนธิสัญญาห้ามแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) ของตนเอง แต่กลับมากดดันโครงการนิวเคลียร์เพื่อสันติของอิหร่าน
เขายังอ้างถึงถ้อยแถลงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่เคยกล่าวว่าสหรัฐฯ มีอาวุธมากพอที่จะ “ทำลายโลกได้ถึง 150 ครั้ง” พร้อมตั้งคำถามว่าความสามารถเช่นนั้นจะเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจได้อย่างไร
เกี่ยวกับความเป็นปฏิปักษ์ของสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน บักกาอีกล่าวถึงการประชุมระดับภูมิภาคครั้งล่าสุด ซึ่ง ทัลซี แก็บบาร์ด (Tulsi Gabbard) ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ ยอมรับว่าวอชิงตันได้ดำเนินนโยบายแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ๆ มานานหลายทศวรรษ ซึ่ง “ในที่สุดได้ก่อให้เกิดความเป็นศัตรู ความแตกแยก และการก่อการร้ายไปทั่วโลก”
นายเอสมาอิล บักกาอี แสดงความเสียใจที่นักการเมืองบางคนในสหรัฐฯ “ยังไม่สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์อันขมขื่นเหล่านี้ได้” พร้อมทั้งแสดงความหวังว่าสถานการณ์ “การสังหารโหดและโศกนาฏกรรมมนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคของเรา” จะได้รับการจัดการอย่างจริงจังในระดับนานาชาติในที่สุด
เขาได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ล่าสุดในซีเรีย วิกฤตที่ยังคงดำเนินอยู่ในซูดาน และสถานการณ์วุ่นวายในลิเบีย เพื่อแสดงให้เห็นว่าการแทรกแซงของชาติตะวันตก “ได้ก่อให้เกิดแต่ความไม่มั่นคงและความโกลาหลมากขึ้น”
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กองกำลังสนับสนุนฉุกเฉินของซูดาน (Rapid Support Forces – RSF) ได้สังหารประชาชนอย่างน้อย 2,000 คนในเมืองเอลฟาเชอร์ ทางตะวันตกของดาร์ฟูร์
รายงานระบุว่ามีการประหารชีวิตโดยพลการ ความรุนแรงทางเพศ การโจมตีเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม การปล้นสะดม และการลักพาตัว โดยมีรายงานว่าคราบเลือดของเหยื่อสามารถมองเห็นได้จากภาพถ่ายดาวเทียม
RSF ทำสงครามกับกองทัพซูดาน (SAF) มานานกว่าสองปี ขณะที่อิสราเอล สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส แคนาดา และสหรัฐฯ กำลังเผชิญการตรวจสอบจากประชาคมโลกในประเด็นการขายอาวุธและการให้การสนับสนุนทางการทูตแก่ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
แม้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) จะปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่ได้ถูกชี้ว่าเป็นผู้สนับสนุนหลักของ RSF โดยจัดหาอาวุธและความช่วยเหลือด้านลอจิสติกส์ แลกกับทองคำจากซูดาน สงครามในซูดานคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 150,000 คน ทำให้ประชาชนกว่า 12 ล้านคนต้องพลัดถิ่น และอีกเกือบ 25 ล้านคนตกอยู่ในภาวะขาดแคลนอาหารขั้นรุนแรง
“อ้างเหตุปราบอาชญากรรมเพื่อแทรกแซงอธิปไตยของรัฐอื่นไม่อาจยอมรับได้”
ในประเด็นจุดยืนของอิหร่านต่อการคุกคามของสหรัฐฯ ต่อประเทศในอเมริกาใต้ บักกาอีกล่าวว่า “เรา ประณามอย่างเด็ดขาด ต่อการเคลื่อนไหวทางทหารของสหรัฐฯ ในแคริบเบียนและละตินอเมริกา ซึ่งถือเป็นการกระทำที่บ่อนทำลายสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ”
เขาเสริมว่า “ข้ออ้างเรื่องการปราบปรามการค้ายาเสพติด” ซึ่งสหรัฐฯ เคยใช้ในภูมิภาคนี้มาหลายครั้งนั้น “ขาดความชอบธรรมทางกฎหมายในมุมมองของกฎหมายระหว่างประเทศ”
“ไม่มีประเทศใดมีสิทธิ์ละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนหรืออธิปไตยของประเทศอื่น โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นการค้ายาเสพติดหรืออาชญากรรมรูปแบบใดก็ตาม” เขาย้ำ
การเสริมกำลังทางทหารที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ ได้สร้างความกังวลว่า วอชิงตันอาจกำลังพยายามสร้างความไม่มั่นคงหรือแม้กระทั่งเตรียมการรุกรานเวเนซุเอลาภายใต้ “ข้ออ้างเท็จ”
ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา กองบัญชาการภาคใต้ของสหรัฐฯ (U.S. Southern Command) ได้เปิดปฏิบัติการโจมตีในทะเลแคริบเบียนและฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างน้อย 15 ครั้ง ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 62 ราย
เมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร ของเวเนซุเอลา กล่าวในถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ระดับชาติว่า รัฐบาลของ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลัง “สร้างสงครามนิรันดร์รูปแบบใหม่”
ที่มา Press TV