"ดอลลาร์" ส่อแววอ่อนค่าต่อเนื่องปี 2026
"ดอลลาร์" ส่อแววอ่อนค่าต่อเนื่องปี 2026 หลังทุบสถิติดิ่งหนักสุดรอบ 8 ปี เหตุเศรษฐกิจโลกโตแซงสหรัฐฯ
24-12-2025
Yahoo finace รายงานโดยอ้าง บทวิเคราะห์จากสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดฉากปีที่น่าผิดหวัง โดยดัชนีดอลลาร์เทียบตะกร้าสกุลเงินหลักอ่อนค่าลงราว 9% ทำสถิติผลตอบแทนแย่ที่สุดในรอบ 8 ปี ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อไป ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศหลักเริ่มแคบลง และตลาดเริ่มกังวลต่อฐานะการคลังและความไม่แน่นอนทางการเมืองในวอชิงตัน
นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงอีก เนื่องจากธนาคารกลางหลักอื่น ๆ ทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยหรือใช้นโยบายที่เข้มงวดขึ้น สวนทางกับการก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งของประธานเฟด (Fed) คนใหม่ ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ถูกคาดหมายว่าจะนำไปสู่ทิศทางนโยบายเชิงผ่อนคลาย (Dovish tilt) มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ โดยปกติแล้วมูลค่าดอลลาร์มักจะปรับตัวลดลงเมื่อเฟด (Fed) ลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากทำให้นักลงทุนมองว่าสินทรัพย์ที่อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์มีความน่าดึงดูดลดน้อยลง ส่งผลให้อุปสงค์ในสกุลเงินดังกล่าวลดลงตามไปด้วย
นายคาร์ล ชามอตตา (Karl Schamotta) หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดจากบริษัท Corpay ระบุว่า "ความเป็นจริงในปัจจุบันคือเรายังคงมีสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีมูลค่าสูงเกินจริง (Over-valued) เมื่อพิจารณาจากมุมมองด้านปัจจัยพื้นฐาน"
การประเมินทิศทางของค่าเงินดอลลาร์อย่างแม่นยำถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุน เนื่องจากดอลลาร์มีบทบาทเป็นศูนย์กลางของระบบการเงินโลก โดยการอ่อนค่าของดอลลาร์จะช่วยส่งเสริมผลประกอบการของบริษัทข้ามชาติในสหรัฐฯ ผ่านการเพิ่มมูลค่ารายได้จากต่างประเทศเมื่อแปลงกลับมาเป็นสกุลเงินดอลลาร์ ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดให้กับตลาดทุนระหว่างประเทศด้วยอานิสงส์จากอัตราแลกเปลี่ยน (FX boost) ที่นอกเหนือไปจากผลตอบแทนของสินทรัพย์พื้นฐาน
แม้ว่าดอลลาร์จะมีการดีดตัวขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ปรับตัวสูงขึ้นเกือบ 2% จากระดับต่ำสุดในเดือนกันยายน แต่นักยุทธศาสตร์ด้านอัตราแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่ยังคงยืนยันการคาดการณ์ว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลงในปี 2026 ตามผลการสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) ที่จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายนถึง 3 ธันวาคมที่ผ่านมา
ข้อมูลจากธนาคารเพื่อการชำระบัญชีระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements) ระบุว่า อัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงของดอลลาร์ (Real broad effective exchange rate) ซึ่งวัดค่าเปรียบเทียบกับตะกร้าสกุลเงินต่างประเทศขนาดใหญ่และปรับค่าเงินเฟ้อแล้ว อยู่ที่ระดับ 108.7 ในเดือนตุลาคม ซึ่งลดลงเพียงเล็กน้อยจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 115.1 ในเดือนมกราคม แสดงให้เห็นว่าสกุลเงินสหรัฐฯ ยังคงมีมูลค่าสูงเกินความจริง
การเติบโตของเศรษฐกิจโลก (GLOBAL GROWTH) ความคาดหมายว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลงนั้นขึ้นอยู่กับการบรรจบกันของอัตราการเติบโตทั่วโลก โดยคาดว่าความได้เปรียบของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะลดน้อยลงเมื่อเขตเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ เริ่มมีแรงส่งมากขึ้น นายอนูจีต ซารีน (Anujeet Sareen) ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนจาก Brandywine Global ให้ความเห็นว่า "สิ่งที่แตกต่างออกไปในตอนนี้คือ ในปีหน้าส่วนที่เหลือของโลกกำลังจะเติบโตได้มากขึ้น"
กลุ่มนักลงทุนระบุว่า มาตรการกระตุ้นการคลังของเยอรมนี (Germany) นโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลจีน (China) และทิศทางการเติบโตที่ปรับตัวดีขึ้นในยูโรโซน (Euro Zone) คาดว่าจะช่วยลดส่วนต่างการเติบโต (Growth premium) ของสหรัฐฯ ที่เคยเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินดอลลาร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นายพาเรช อุปัธยายา (Paresh Upadhyaya) ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ตราสารหนี้และสกุลเงินจาก Amundi มองว่า "เมื่อโลกส่วนที่เหลือเริ่มดูดีขึ้นในแง่ของการเติบโต นั่นย่อมเป็นปัจจัยบวกที่จะทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง"
แม้แต่นักลงทุนที่เชื่อว่าจุดต่ำสุดของการอ่อนค่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว ยังระบุว่าหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญกับความอ่อนแอไม่ว่าในจุดใด ย่อมส่งผลกระทบต่อค่าเงินได้ นายแจ็ค เฮอร์ (Jack Herr) นักวิเคราะห์การลงทุนจาก GuideStone Funds ระบุว่า หากพบความอ่อนแอ ณ จุดใดก็ตามในปีหน้า ย่อมส่งผลเสียต่อตลาดและกระทบต่อดอลลาร์อย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่ได้คาดการณ์ว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงเป็นกรณีฐานในปี 2026 ก็ตาม
นโยบายธนาคารกลางที่สวนทางกัน (CENTRAL BANK DIVERGENCE) ความคาดหมายที่เฟด (Fed) จะยังคงลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป ในขณะที่ธนาคารกลางหลักอื่น ๆ คงอัตราดอกเบี้ยหรือปรับขึ้น ยิ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ โดยในการประชุมเดือนธันวาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการเฟด (Fed) ที่มีความเห็นแตกแยกอย่างรุนแรงได้ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลง ขณะที่มุมมองเฉลี่ยของคณะกรรมการนโยบายในปีหน้าคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.25%
ด้วยเหตุที่ นายเจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) เตรียมก้าวลงจากตำแหน่งเพื่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) แต่งตั้งประธานเฟด (Fed) คนใหม่ ตลาดอาจเริ่มให้น้ำหนักกับธนาคารกลางที่มีนโยบายผ่อนคลายมากขึ้นในปีหน้า เนื่องจากการผลักดันให้มีการลดดอกเบี้ยของทรัมป์ (Trump) ทั้งนี้ ตัวเก็งในตำแหน่งประธานคนใหม่หลายราย เช่น นายเควิน ฮาสเซตต์ (Kevin Hassett), นายเควิน วอร์ช (Kevin Warsh) และ นายคริส วอลเลอร์ (Chris Waller) ต่างเคยออกมาสนับสนุนให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปัจจุบัน
ในขณะเดียวกัน บรรดาเทรดเดอร์คาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในปี 2026 แม้จะยังไม่ตัดโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปทั้งหมดก็ตาม เนื่องจาก ECB ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตและเงินเฟ้อในการประชุมเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ทิศทางที่ไม่ได้เป็นเส้นตรง (NOT A STRAIGHT LINE) อย่างไรก็ตาม แม้มุมมองในระยะยาวจะชี้ไปที่การอ่อนค่าของดอลลาร์ แต่นักลงทุนเตือนว่าการดีดตัวกลับในระยะสั้นก็เป็นสิ่งที่มิอาจมองข้ามได้ โดยกระแสความตื่นตัวอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ได้ในระยะสั้น นอกจากนี้ นายซารีน (Sareen) จาก Brandywine Global ยังเสริมว่า แรงหนุนจากการเปิดหน่วยงานรัฐ (Reopening of the government) หลังสภาวะชะงักงันในปีนี้ และอานิสงส์จากมาตรการลดภาษี อาจช่วยพยุงค่าเงินดอลลาร์ได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี แต่ไม่น่าจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่ยั่งยืนได้ตลอดทั้งปี
---
IMCT NEWS
ที่มา https://finance.yahoo.com/news/analysis-dire-dollar-little-light-110310105.html