.

ผู้นำจิตวิญญาณชาวดรูซ: อิสราเอลฉวยโอกาสจากความรุนแรงในซูเวย์ดาของซีเรีย เพื่อผลักดันวาระขยายอำนาจของตน
21-7-2025
ทุกครั้งที่อิสราเอลโจมตีซีเรีย มันไม่ใช่การปกป้องชาวดรูซ แต่เป็นการ “โจมตีอัตลักษณ์ของพวกเรา” ชีคซามี อาบี อัลโมนา (Sheikh Sami Abi al-Mona) ผู้นำจิตวิญญาณของชุมชนชาวดรูซในเลบานอน กล่าวกับสื่อข่าว พร้อมแสดงความกังวลอย่างรุนแรงต่อความรุนแรงที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในเมืองซูเวย์ดา (Suwayda) ของซีเรีย
เขาเตือนว่า จำเป็นต้องดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อสร้างเสถียรภาพในซีเรีย เพราะ “ความเงียบมีแต่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการฉีกทำลายซีเรียให้แหลกเป็นเสี่ยง ๆ”
ชีคซามีเรียกร้องให้มีการดำเนินการเพื่อป้องกันการนองเลือดเพิ่มเติม และการแตกแยกของชาติ รวมถึงให้เปิดการสอบสวนเหตุสังหารหมู่โดยทันที และนำผู้กระทำผิดมารับผิดชอบตามกฎหมาย
เขาเน้นย้ำว่า แนวทางแก้ไขใด ๆ ก็ตาม ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐที่ชอบธรรม และมีหลักประกันที่ชัดเจนและมั่นคง
นอกจากนี้ ชีคซามียังยืนกรานว่า ความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์เหล่านี้ ไม่ได้ตกอยู่กับรัฐบาลซีเรียเพียงฝ่ายเดียว แต่รวมถึงชาติอาหรับอื่น ๆ ด้วย
เขากล่าวด้วยความสะเทือนใจว่า: “มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่สุดท้ายมีแค่อิสราเอลเท่านั้นที่ดูเหมือนจะหยุดความสังหารหมู่เหล่านี้ได้? ข้อตกลงควรถูกบรรลุนานแล้ว ก่อนที่การนองเลือดจะกลายเป็นเรื่องปกติแบบนี้”
ชีคอัลโมนา (Al-Mona) แสดงความวิตกอย่างรุนแรงเกี่ยวกับกลุ่มหัวรุนแรงที่ถูกกล่าวหาว่ากำลังปฏิบัติการโดยมีภาครัฐให้การสนับสนุนอย่างลับ ๆ พร้อมตั้งคำถามว่า ซีเรียกำลังพยายามสร้างชาติสมัยใหม่ หรือกำลังปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นโครงการอิสลามหัวรุนแรงกันแน่
แม้การนองเลือดจะทิ้งรอยแผลเป็นอันน่าอับอายไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติ แต่ในวันนี้ “สิ่งสำคัญคือต้องหันไปมองอนาคต” ผู้นำจิตวิญญาณชาวดรูซย้ำ
เขากล่าวว่า ทางออกที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ ผ่านการเจรจา และต้องได้รับการสนับสนุนจากโลกอาหรับ
ชีคอัลโมนายังเน้นว่า: “ซีเรียไม่สามารถฟื้นฟูประเทศขึ้นมาใหม่ได้บนรากฐานของลัทธิเผด็จการ ไม่ว่าจะอำพรางด้วยศาสนาหรือความขัดแย้งทางการเมือง และซีเรียก็ไม่อาจอยู่รอดได้หากกลายเป็นหุ่นเชิดของอำนาจจากภายนอก”
เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม เครื่องบินรบของอิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศอย่างหนักใส่กรุงดามัสกัส โดยมีเป้าหมายหลายแห่ง รวมถึงกระทรวงกลาโหมของซีเรีย ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับทำเนียบประธานาธิบดี
การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับครั้งใหญ่ในปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอล ซึ่งอ้างว่าเป็นความพยายามในการปกป้องชนกลุ่มน้อยชาวดรูซในจังหวัดซูเวย์ดาของซีเรีย
การทิ้งระเบิดเกิดขึ้นหลังจากการปะทะกันอย่างดุเดือดหลายวันในภาคใต้ของประเทศ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ทุกฝ่ายต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนัก
ในวันเดียวกัน รัฐบาลซีเรียและผู้นำชาวดรูซ—ซึ่งในอดีตเคยเป็นแนวหน้าของกลุ่มต่อต้านอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แต่ปัจจุบันกลับต่อต้านรัฐบาลของชาอารา—ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง
การยุติความรุนแรงชั่วคราวครั้งนี้นำมาซึ่งความสงบเปราะบาง แต่สถานการณ์ยังคงตึงเครียดอย่างมาก
ที่มา Sputnik