สงครามการค้าภาษีผลักดันอินเดียและจีน ฟื้นสัมพันธ์

สงครามการค้าภาษี 'ทรัมป์'-ภูมิรัฐศาสตร์โลก ผลักดันให้อินเดียและจีน ฟื้นสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ-การเมือง?
4-8-2025
SCMP รายงานว่า การที่กลุ่มผู้แสวงบุญอินเดียสามารถเดินทางเข้าสู่ทิเบต (Tibet) อีกครั้งในฤดูร้อนนี้ สะท้อนสัญญาณใหม่ในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างอินเดีย (India) กับจีน (China) หลังจากกลับเข้าสู่ภาวะตึงเครียดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อันเป็นผลจากเหตุปะทะชายแดนหิมาลัยเมื่อปี 2020 ซึ่งสร้างรอยร้าวลึกทั้งในเชิงทูตและความไว้วางใจ
ช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียเริ่มออกวีซ่าให้พลเมืองจีนในหลากหลายประเภทอีกครั้ง ซึ่งได้รับการตอบรับจากฝั่งปักกิ่งว่าเป็น “ก้าวบวก” ก่อนหน้านี้จีนได้อนุญาตให้คณะผู้แสวงบุญชาวอินเดียเดินทางเข้าทิเบต หลังหยุดชะงักเพราะโควิด-19 และปัญหาแนวพรมแดน ขณะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายเตรียมฟื้นเที่ยวบินตรงในอนาคตอันใกล้ ท่ามกลางความคาดหวังของผู้เชี่ยวชาญว่า ขั้นตอนเหล่านี้จะนำไปสู่ความร่วมมือระดับลึกยิ่งขึ้น
ยัชวานท์ เทชมุข (Yashwant Deshmukh) นักวิเคราะห์การเมืองอิสระของอินเดีย ชี้ว่าศักยภาพในการเสริมความร่วมมือระหว่างสองประเทศยังมีอีกมาก แต่ต้อง “เร่งแก้วิกฤตศรัทธา” โดยเฉพาะข้อพิพาทแนวพรมแดนที่ยังเป็นปมเรื้อรัง แม้จะมีแนวทางปฏิบัติร่วมบางประการในช่วงปลายปีที่ผ่านมา เช่น การตกลงขั้นตอนถอนกำลังทหารริมเส้นแบ่งควบคุม (Line of Actual Control) และการกำหนดแผนลาดตระเวนใหม่ ๆ ตามมาด้วยการเยือนจีนของรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย สุพรหมะณัม ไจชังกัร (S. Jaishankar) เพื่อหารือเรื่องการบูรณาการกิจกรรมของประชาชนระหว่างสองชาติ
ทางเศรษฐกิจ รัฐมนตรีคลังอินเดีย นีร์มาลา สิทธารามัน (Nirmala Sitharaman) กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนและธุรกิจเริ่ม “เห็นแสงสว่าง” โดยอินเดียและจีนต่างต้องการเปิดโอกาสตลาดระหว่างกันให้มากขึ้น ปัจจัยชี้วัดสำคัญคือการประชุม Shanghai Cooperation Organisation (SCO) Summit ที่เมืองเทียนจินช่วงปลายเดือนสิงหาคม ซึ่งน่าจับตาว่า นเรนทรา โมดี (Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีอินเดีย จะร่วมงานดังกล่าวหรือไม่ เพราะนั่นจะเป็นการเยือนจีนครั้งแรกในรอบ 7 ปี
ขณะเดียวกัน นโยบายเศรษฐกิจแบบคุ้มครองอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ถือเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ผลักให้อินเดีย-จีนมีความคิดเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกันมากขึ้น โดยเฉพาะภายหลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย จนสหพันธ์อุตสาหกรรมอินเดียออกแถลงการณ์แสดงความผิดหวังและหวังว่านโยบายดังกล่าวจะเป็นเพียงชั่วคราว
แม้ปริมาณการค้าระหว่างจีนกับอินเดียมีมูลค่าสูงถึง 127,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024–25 แต่ความไม่สมดุลยังคงสูง อินเดียขาดดุลการค้ากับจีนกว่า 99,200 ล้านดอลลาร์ โดยยอดส่งออกจากอินเดียคิดเป็นเพียง 10% ของยอดนำเข้าจากจีน นักวิชาการแนะว่าทั้งสองฝ่ายควรมุ่งขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน เช่น บริการดิจิทัลและเทคโนโลยี ที่สามารถสร้างสมดุลผลประโยชน์ใหม่ได้
ขณะที่จีนเป็นแหล่งส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม อิเล็กทรอนิกส์ และแบตเตอรี EV หลัก อินเดียก็เร่งขยายตลาดข้าว เครื่องเทศ น้ำมันพืชเข้าสู่จีน อย่างไรก็ดี อุปสรรคสำคัญยังมาจากข้อกีดกันที่ไม่ใช่ภาษีและข้อจำกัดด้านภาษาและมาตรฐานเทคนิคของตลาดจีน
มิติด้านความมั่นคง ยังเป็นประเด็นท้าทายร่วม เช่น อินเดียกังวลต่อบทบาทจีนที่สนับสนุนปากีสถาน ทั้งด้านอาวุธและยุทธศาสตร์ ในขณะเดียวกันจีนก็เดินหน้าโครงการทุนขนาดใหญ่ เช่น การสร้างเขื่อนยักษ์บนแม่น้ำยาลุงซางโป (Yarlung Tsangpo) ที่ไหลข้ามสู่เขตอินเดีย สร้างความวิตกต่อความมั่นคงทางน้ำของอินเดีย
แม้จะมีอุปสรรค ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าตลาดและผลประโยชน์ระยะยาวเป็นแรงจูงใจให้สองยักษ์เอเชียเร่งหาทางออก รัฐบาลอินเดียเริ่มลดท่าทีรุนแรงต่อจีน สัญญาณการคว่ำบาตรและกระแสแอนตี้จีนเริ่มจางลง ขณะที่นักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ เช่น โดมินิก โรห์เนอร์ (Dominic Rohner) มองว่า ความสัมพันธ์ทางการค้าจะเป็นเกราะป้องกันความขัดแย้ง และมีความสำคัญต่อความมั่นคงภูมิภาคร่วม
อินเดียและจีนกำลังเดินหน้าสู่การคลี่คลายความขัดแย้ง ท่ามกลางแรงกดดันจากเวทีโลก แม้จะยังมีข้อพิพาทเรื่องพรมแดนและสมดุลทางเศรษฐกิจ แต่ช่องทางความร่วมมือใหม่ ๆ กำลังเปิดกว้าง ทั้งในเชิงประชาชน เศรษฐกิจ และกลไกพหุภาคี เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสองมหาอำนาจเอเชียในการกำหนดสมดุลใหม่ของภูมิรัฐศาสตร์โลก
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/week-asia/politics/article/3320481/all-out-thaw-can-india-and-china-unfreeze-icy-ties-last?module=Diplomacy&pgtype=section