.
ทำไม 'ราคาเงิน' จึงพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 'ราคาทองคำ' ?
4-12-2025
Bloomberg นำเสนอรายงานเชิงวิเคราะห์ว่า ราคาทองคำพุ่งแรงตลอดปีนี้ ภายใต้บรรยากาศไม่แน่นอนจากนโยบายเศรษฐกิจที่ผิดจากแนวทางเดิมของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ซึ่งทำให้นักลงทุนและธนาคารกลางหันกลับมาถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงล่าสุด “เงิน” (Silver) กลายเป็นตัวแสดงหลักที่ดึงความสนใจจากตลาดมากกว่า
อุปทานในตลาดเงินที่ตึงตัวดันให้ราคาเงินปรับขึ้นถึงราว 100% ณ ต้นเดือนธันวาคม ขณะที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นประมาณ 60% ในช่วงเวลาเดียวกัน การพุ่งขึ้นของทั้งสองโลหะมีค่าเกิดขึ้นท่ามกลางแรงซื้อจากนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงด้านความปั่นป่วนทางการเมือง ภาวะเงินเฟ้อ และความอ่อนค่าของสกุลเงินหลัก
ต่างจากทองคำ เงินไม่ใช่เพียงแค่ทรัพยากรหายากและมีมูลค่าทางความงาม แต่ยังมีคุณสมบัติทางกายภาพที่ถูกใช้จริงในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ส่งผลให้ความต้องการเชิงอุตสาหกรรมผสมกับแรงซื้อเชิงลงทุนไปกดดันตลาดพร้อมกัน ขณะที่สต๊อกเงินอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่มีบันทึก และนักลงทุนยังคงแห่เข้าซื้อ ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ซัพพลายจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของหลายอุตสาหกรรมในอนาคต
## ใครต้องใช้ “เงิน”
เงินเป็นตัวนำไฟฟ้าชั้นเยี่ยม ถูกใช้ในแผงวงจรและสวิตช์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ รวมถึงเป็นส่วนประกอบสำคัญใน “silver paste” สำหรับแผงโซลาร์เซลล์ นอกจากนี้ยังใช้เคลือบอุปกรณ์การแพทย์ต่าง ๆ หากราคายืนสูงเป็นเวลานาน ต้นทุนของผู้ใช้ในอุตสาหกรรมเหล่านี้อาจเพิ่มขึ้นจนกระทบความสามารถในการทำกำไร และเร่งให้เกิดการหาวัสดุอื่นมาทดแทนในระยะถัดไป
เช่นเดียวกับทองคำ เงินยังคงเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเครื่องประดับและเหรียญกษาปณ์ โดยจีนและอินเดียยังเป็นผู้นำเข้าเงินรายใหญ่ที่สุด สะท้อนทั้งขนาดฐานการผลิตอุตสาหกรรม ประชากรจำนวนมาก และบทบาทของเครื่องประดับเงินในฐานะสินทรัพย์เก็บออมที่ถ่ายทอดข้ามรุ่นในสองประเทศ
ภาครัฐและโรงกษาปณ์ในหลายประเทศยังใช้เงินปริมาณมากเพื่อผลิตเหรียญ bullion และผลิตภัณฑ์โลหะมีค่าอื่น ๆ ในฐานะสินทรัพย์ลงทุน เงินมีราคาต่อออนซ์ต่ำกว่าทองคำมาก ทำให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงได้ง่ายกว่า อีกทั้งมักเคลื่อนไหวในเชิงราคาแรงกว่าเมื่อเกิดรอบขาขึ้นของตลาดโลหะมีค่า
## อะไรทำให้ตลาดเงิน “ไม่เหมือน” ทองคำ
การใช้งานที่หลากหลายทำให้ราคาเงินขึ้นอยู่กับปัจจัยกว้างขวาง ตั้งแต่รอบธุรกิจภาคการผลิต การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ไปจนถึงนโยบายด้านพลังงานหมุนเวียน ช่วงที่เศรษฐกิจโลกเร่งตัว ความต้องการเงินในอุตสาหกรรมจะช่วยหนุนราคา ขณะที่ในวัฏจักรถดถอย นักลงทุนมักเข้ามาเป็นผู้ซื้อแทนภาคอุตสาหกรรม ทำให้เงินยังคงมีฐานดีมานด์ในรูปแบบที่ต่างกัน
ตลาดเงินมีขนาด “บาง” กว่าทองคำอย่างชัดเจน มูลค่าการซื้อขายรายวันต่ำกว่า ปริมาณสต๊อกในระบบจำกัดกว่า และสภาพคล่องสามารถหายวับไปได้รวดเร็ว มูลค่าเงินที่เก็บในคลังลอนดอนคิดเป็นเพียงราว 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ทองคำมีมูลค่าประมาณ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และยังมีทองคำอีกก้อนใหญ่ที่ถือโดยธนาคารกลางทั่วโลกอยู่ในตู้นิรภัยของ Bank of England ราว 7 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งสามารถปล่อยกู้เข้าตลาดได้เมื่อเกิดภาวะแห้งสภาพคล่อง ทำให้ทองคำมี “ธนาคารกลาง” เป็นแหล่งสภาพคล่องขั้นสุดท้าย แต่ตลาดเงินไม่มีระบบสำรองลักษณะเดียวกัน
อัตราส่วนราคาทองคำต่อเงิน (Gold–Silver Ratio) จึงเคลื่อนตัวจากระดับสูงในประวัติศาสตร์ลงมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเงินดีดตัวแรงกว่าทองคำในรอบนี้
## ทำไมเงินถึงพุ่งแรงกว่าทองในปีนี้
โดยธรรมชาติแล้ว เงินมักเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับทองคำ แต่มีความผันผวนสูงกว่า หลังจากราคาทองคำพุ่งแรงในช่วงต้นปี 2025 นักลงทุนบางส่วนมองว่าอัตราส่วนราคาทองต่อเงินที่ยืดออกไปเกินระดับ 100–ต่อ–1 เป็น “ความบิดเบือน” เชิงมูลค่าที่ทำให้เงินดู “ถูก” เมื่อเทียบกับทองคำ แรงมองหามูลค่าที่เหมาะสมจึงดันให้เม็ดเงินไหลเข้าซื้อเงินเพิ่มขึ้น
น้ำหนักหนี้สาธารณะที่สูงในเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ประกอบกับการขาดเจตจำนงทางการเมืองในการจัดการปัญหานี้ ทำให้นักลงทุนจำนวนมากหันหลังให้พันธบัตรรัฐบาลและสกุลเงินกระแสหลัก แล้วหันมาสะสมเงินและสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ ภายใต้ธีมที่ตลาดเรียกว่า “debasement trade” หรือการป้องกันความเสี่ยงจากการลดค่าทางจริงของสกุลเงิน
ด้านอุปทาน การผลิตจากเหมืองเงินทั่วโลกถูกจำกัดทั้งจากคุณภาพแร่ที่ลดลงและจำนวนโครงการใหม่ที่มีน้อยลง ผู้ผลิตรายใหญ่สามอันดับแรกอย่างเม็กซิโก เปรู และจีน ต่างเผชิญอุปสรรคตั้งแต่กฎระเบียบไปจนถึงข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ “ฝั่งเหมือง” เสริมซัพพลายไม่ได้ทันกับความต้องการ
ความต้องการเงินรวมระดับโลกจึงสูงกว่าอุปทานจากเหมืองติดต่อกันมาแล้วห้าปี ขณะที่กองทุน ETF ที่อ้างอิงเงินจริงเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันก็ยังดึงเม็ดเงินลงทุนเข้ามาไม่หยุด ทำให้เงินส่วนหนึ่งเคลื่อนออกจากตลาดกายภาพไป “นอน” อยู่ในกองทุนเหล่านี้
## “Silver squeeze” คืออะไร และเกิดอะไรขึ้นในปีนี้
ช่วงต้นปี เกิดกระแสคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ อาจเก็บภาษีนำเข้าเงิน ส่งผลให้โลหะเงินไหลทะลักเข้าสู่โกดังที่เชื่อมโยงกับตลาด Comex ในนิวยอร์ก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต้องการใช้ประโยชน์จากราคาพรีเมียมที่สูงกว่าในตลาดฟิวเจอร์สดังกล่าว การไหลเข้าของเงินจำนวนมากในนิวยอร์กนำไปสู่การหดตัวของสต๊อกในลอนดอน ซึ่งเป็นศูนย์กลางซื้อขายเงินแบบสปอต
แรงตึงตัวนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อมีเงินกว่าร้อยล้านออนซ์ไหลเข้า ETF ที่มีเงินกายภาพค้ำประกัน ทำให้เงินที่ว่างสำหรับใช้หมุนเวียนในตลาดลดลงในเวลาไล่เลี่ยกัน กระทั่งช่วงเทศกาลสำคัญในอินเดียเดือนตุลาคมที่ความต้องการเงินของผู้บริโภคดีดตัวขึ้นพร้อมกัน ตลาดก็เข้าสู่ภาวะ “ติดขัด” อย่างรวดเร็ว
ต้นทุนการกู้ยืมเงินในตลาดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ราคาเงินดีดตัวแรง ช่องว่างราคาที่ลอนดอนปรับสูงกว่าตลาดอ้างอิงอื่นช่วยผ่อนความตึงตัวบางส่วน เนื่องจากจูงใจให้มีการนำเงินเข้าสู่ตลาดลอนดอนเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นในตลาดยังจับตาอย่างใกล้ชิดต่อความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะเก็บภาษีเงินอย่างเป็นทางการ หลังจาก US Geological Survey บรรจุเงินเข้าใน “บัญชีโลหะและแร่ธาตุเชิงยุทธศาสตร์” ของสหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ทำให้เงินกลายเป็นทั้งสินทรัพย์การลงทุน สินทรัพย์ยุทธศาสตร์ และวัตถุดิบอุตสาหกรรม ที่ราคาอาจยังเผชิญความผันผวนสูงต่อไปในระยะข้างหน้า
----
IMCT NEWS
ที่มา https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-12-03/silver-price-hits-record-high-why-it-has-been-surging-even-more-than-gold?srnd=phx-economics-v2