อินเดียกับยุคทองแห่งกิกะวัตต์

“อินเดียกับยุคทองแห่งกิกะวัตต์”
3-10-2025
ตอนนี้อินเดียกำลังอยู่ในช่วง "เร่งขุดทอง" ของอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่แม้จะยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก มหาเศรษฐี และแม้แต่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่แห่เข้ามาลงทุนกันอย่างคึกคัก
ปัจจุบัน อินเดียมีศูนย์ข้อมูลที่มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 1.2 กิกะวัตต์ ซึ่งยังถือเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของกำลังการผลิตทั่วโลก แต่ตามรายงานในเดือนพฤษภาคมโดยบริษัทด้านบริการและการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ Collier คาดว่าตลาดนี้จะเติบโตมากกว่าสองเท่า ทะลุ 3 กิกะวัตต์ภายใน 5 ปีข้างหน้า
การเติบโตดังกล่าวได้ดึงดูดบริษัทศูนย์ข้อมูลระดับโลก มหาเศรษฐีอินเดีย และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เข้ามาร่วมชิงส่วนแบ่งตลาดที่หลายคนมองว่าเป็น "กระดูกสันหลัง" ของอนาคตดิจิทัลของอินเดีย
ในเดือนกรกฎาคม มีรายงานว่า Google ได้เริ่มเจรจากับรัฐบาลรัฐอานธรประเทศเพื่อจัดตั้งศูนย์ข้อมูลขนาด 1 กิกะวัตต์ และเพียงหนึ่งเดือนหลังจากนั้น Sam Altman จาก OpenAI ก็ประกาศว่า บริษัทของเขากำลังพิจารณาแผนจัดตั้งศูนย์ข้อมูลขนาด 1 กิกะวัตต์ในอินเดียเช่นกัน
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงขนาดของความทะเยอทะยาน — เดิมทีศูนย์ข้อมูลมักวัดขนาดเป็น "เมกะวัตต์" แต่ตอนนี้แผนการลงทุนใหม่ๆ ถูกวัดกันเป็น "กิกะวัตต์" โดยเฉพาะจากกลุ่ม "ไฮเปอร์สเกลเลอร์" หรือบริษัทที่ต้องใช้พลังประมวลผลในปริมาณมหาศาล (1 กิกะวัตต์ = 1,000 เมกะวัตต์ = 1 ล้านวัตต์)
ไม่น่าแปลกใจที่การแข่งขันในตลาดนี้จะดุเดือด ปัจจุบันมีผู้เล่นมากกว่า 15 รายที่กำลังแย่งชิงส่วนแบ่ง ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง NTT จากญี่ปุ่น, STT GDC ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Temasek แห่งสิงคโปร์, และ Equinix จากสหรัฐฯ รวมถึงกลุ่มบริษัทมหาอำนาจของอินเดียอย่าง Adani Group และ Reliance Industries
นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มหันเหจากตลาดเดิมเช่นกัน บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่อย่าง Hiranandani Group (ผ่านบริษัทลูก Yotta Infrastructure), Anant Raj Developers ในเดลี และ Panchshil Realty จากเมืองปูเน่ ต่างก็กำลังเปลี่ยนเส้นทางจากการเป็นผู้สร้างบ้านและอาคารสำนักงาน มาสู่การเป็น "เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ดิจิทัล" โดยทุ่มเงินลงทุนระดับพันล้านเพื่อจับตลาดไฮเปอร์สเกลเลอร์ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้.
อะไรคือแรงผลักดันเบื้องหลังการเติบโตอย่างรวดเร็วของศูนย์ข้อมูลในอินเดีย?
เบื้องหลังการเติบโตอย่างร้อนแรงของอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลในอินเดียคือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างด้านความต้องการ โดยตามข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ Anarock Capital พบว่า ลูกค้าของศูนย์ข้อมูลในอินเดียมีสัดส่วนประมาณ 60% มาจากกลุ่มองค์กรธุรกิจทั่วไป (Enterprise), 30% มาจากกลุ่มไฮเปอร์สเกลเลอร์ (Hyperscalers) และอีกประมาณ 10% มาจากผู้ใช้งานด้าน AI
“เมื่อปริมาณงานที่เกี่ยวข้องกับ AI เพิ่มขึ้น เราคาดว่าการใช้งานจากภาคธุรกิจทั่วไปจะยังคงที่ แต่กลุ่มไฮเปอร์สเกลเลอร์อาจเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 35% ขณะที่ความต้องการเฉพาะของผู้ใช้งาน AI อาจเพิ่มขึ้นอยู่ระหว่าง 20% ถึง 25%” นาย Shobhit Agarwal ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Anarock กล่าว
ตัวอย่างของกลุ่มไฮเปอร์สเกลเลอร์ ได้แก่ ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น Microsoft, Amazon Web Services (AWS) และ Google
นาย Alok Bajpai กรรมการผู้จัดการของ NTT Data Systems ประเทศอินเดีย บอกกับ CNBC ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของระบบธนาคารในอินเดีย รวมถึงข้อกำหนดด้านการจัดเก็บข้อมูล (Data Localization) ที่กำหนดให้ข้อมูลการเงินของชาวอินเดียต้องถูกเก็บไว้ภายในประเทศ เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในคลื่นลูกแรกของความต้องการใช้ศูนย์ข้อมูล
คลื่นลูกที่สองเกิดขึ้นตามมาจากการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ และการขยายตัวของบริษัทโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ และตอนนี้ คลื่นลูกที่สามก็กำลังจะมาถึง — โดยมี "งานประมวลผลด้าน AI" เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Equinix ได้ขยายการดำเนินงานเข้าสู่รัฐที่สองของอินเดีย ด้วยการเปิดศูนย์ข้อมูลแห่งแรกที่มุ่งเน้นงานด้าน AI โดยเฉพาะที่เมืองเจนไน
นาย Manoj Paul กรรมการผู้จัดการประจำประเทศของ Equinix กล่าวว่า “60% ของรายได้ของ Equinix มาจากลูกค้าที่ทำงานร่วมกับบริษัทในทั้งสามภูมิภาค ได้แก่ อเมริกา ยุโรป และเอเชีย และพวกเขากระตือรือร้นอย่างมากที่จะขยายสู่ตลาดอินเดีย” โดยกล่าวไว้ในรายการ "Inside India" ของ CNBC เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ปัจจุบัน ลูกค้าองค์กรเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนความต้องการใช้ศูนย์ข้อมูลในอินเดียมากที่สุด แต่ความต้องการของพวกเขายังถือว่าไม่สูงมากนัก เมื่อโปรไฟล์ของลูกค้าเปลี่ยนไป สถานประกอบการศูนย์ข้อมูลจึงต้องถูกออกแบบใหม่ให้สามารถรองรับปริมาณงานที่ใหญ่กว่าเดิมมาก
“ก่อนหน้านี้ ความต้องการจากกลุ่มองค์กรธุรกิจแทบไม่เคยเกิน 10 เมกะวัตต์ แต่เมื่อเป็นไฮเปอร์สเกลเลอร์ ความต้องการเพิ่มขึ้นเป็น 25 เมกะวัตต์ และในบางกรณีถึง 50 เมกะวัตต์ และเมื่อรวม AI เข้าไป ความต้องการอาจพุ่งขึ้นไปถึง 75–100 เมกะวัตต์ได้” นาย Bajpai จาก NTT Data Systems กล่าว.
ทำไมต้องอินเดีย?
บนกระดาษ อินเดียมีข้อได้เปรียบตามธรรมชาติอยู่หลายประการ ตลาดศูนย์ข้อมูลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างญี่ปุ่น ออสเตรเลีย จีน และสิงคโปร์ ต่างก็เข้าสู่ระยะอิ่มตัวแล้ว โดยเฉพาะสิงคโปร์ ซึ่งแม้จะเป็นศูนย์กลางศูนย์ข้อมูลที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค แต่ก็ประสบปัญหาขาดแคลนพื้นที่สำหรับการขยายศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่
ในทางกลับกัน อินเดียมีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับการพัฒนาโครงการศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับศูนย์ข้อมูลในยุโรป ต้นทุนค่าไฟฟ้าในอินเดียนั้นต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานสูง ก็ยิ่งทำให้สมการทางเศรษฐกิจของอินเดียนั้นน่าสนใจมากขึ้น
ความต้องการใช้งานในประเทศเองก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นแรงผลักสำคัญของศูนย์ข้อมูลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประกอบกับความเป็นไปได้ที่จะมีการออกกฎใหม่ให้ต้องจัดเก็บข้อมูลโซเชียลมีเดียไว้ภายในประเทศ ล้วนทำให้อินเดียกลายเป็นเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง
พูดง่าย ๆ: อินเดียกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาทอง ที่ผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก ผู้พัฒนา AI และแรงผลักจากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลภายในประเทศ มาบรรจบกัน จนกลายเป็นหนึ่งในตลาดศูนย์ข้อมูลที่ร้อนแรงที่สุดในโลก
ใครกำลังแข่งขันกันอยู่?
ในตอนนี้ ผู้เล่นรายใหญ่ระดับโลกยังครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ NTT Data Centers และ STT GDC ที่ยังถือว่ามีสัดส่วนความจุสูงกว่าในตลาดอินเดีย ตามข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ ขณะที่ผู้ให้บริการภายในประเทศอย่าง CtrlS, Nxtra ของ Airtel และ Princeton Digital Group (ที่ Warburg Pincus ถือหุ้น) ก็มีบทบาทอยู่เช่นกัน
แต่สิ่งที่กำลังกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนในอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลของอินเดียคือความทะเยอทะยานของมหาเศรษฐีชาวอินเดียเอง
โครงการร่วมทุนระหว่าง Gautam Adani กับบริษัท EdgeConneX จากสหรัฐฯ ในนาม AdaniConnex แม้ปัจจุบันจะมีความจุอยู่ไม่ถึง 40 เมกะวัตต์ แต่ก็กำลังขยายสู่ 210 เมกะวัตต์ในเร็ว ๆ นี้
ในขณะเดียวกัน บริษัท Reliance ของมหาเศรษฐี Mukesh Ambani ก็กำลังวางแผนสร้าง “เมกะดาต้าเซ็นเตอร์” ขนาด 3 กิกะวัตต์ในรัฐคุชราตทางตะวันตกของอินเดีย ด้วยเม็ดเงินลงทุนระหว่าง 20–30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งโครงการนี้อาจเปลี่ยนภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมไปอย่างสิ้นเชิง
นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายเล็กก็เริ่มเข้าสู่สนามนี้เช่นกัน อย่างเช่น Anant Raj Developers ซึ่งเดิมเป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ได้ประกาศลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ ตั้งเป้าสร้างความจุศูนย์ข้อมูลให้ได้ถึง 300 เมกะวัตต์ภายในปี 2032 นับตั้งแต่บริษัทประกาศเข้าสู่ธุรกิจศูนย์ข้อมูลในปี 2023 ราคาหุ้นของบริษัทก็เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า
อุปสรรคที่ขวางทาง
แต่อินเดียไม่ใช่สถานที่ที่ง่ายสำหรับการก่อสร้างศูนย์ข้อมูล ไม่เหมือนกับตลาดอื่น ๆ ที่มีกฎระเบียบชัดเจน ผู้พัฒนาและดำเนินการศูนย์ข้อมูลในอินเดียต้องเผชิญกับกระบวนการอนุมัติกว่า 30 ขั้นตอนจากหน่วยงานต่าง ๆ ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม “ในอินเดีย ผู้ประกอบการศูนย์ข้อมูลมักเผชิญกับความล่าช้า เนื่องจากไม่มีระเบียบข้อบังคับที่เป็นมาตรฐานเดียวกันในแต่ละรัฐ” บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ Knight Frank ระบุในรายงานเมื่อเดือนเมษายน
ลองดูกรณีของบริษัท Colt จากสหรัฐฯ ซึ่งซื้อที่ดินในมุมไบตั้งแต่ปี 2018 เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 100 เมกะวัตต์ แต่ใช้เวลาถึง 6 ปี กว่าจะเปิดใช้งานได้ โดยเริ่มต้นจากความสามารถดำเนินงานเพียง 22 เมกะวัตต์เท่านั้น เพื่อเร่งการขยายตัว Colt จึงได้เข้าร่วมทุนมูลค่า 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กับผู้พัฒนาอสังหาฯ ท้องถิ่น RMZ Infrastructure ในปี 2024 ตั้งเป้าพัฒนาอีก 250 เมกะวัตต์ใน Navi Mumbai และ Chennai
ปัญหาไม่ได้หยุดแค่เรื่องใบอนุญาต – ที่ดินก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญ
ศูนย์ข้อมูลต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ ปราศจากข้อพิพาททางกฎหมาย และอยู่ในทำเลที่เหมาะสม ผู้ประกอบการหลายรายมีทุนหนุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ หรือกองทุนเอกชน ซึ่งไม่สามารถซื้อที่ดินได้หากเอกสารสิทธิไม่ชัดเจน เพราะอาจนำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับธรรมาภิบาลขององค์กร ตามที่ปรึกษาด้านอสังหาฯ รายหนึ่งที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อกล่าว
ความล่าช้าเหล่านี้กลับเปิดโอกาสให้กลุ่มนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของอินเดียเข้ามาแทรก พวกเขาซื้อที่ดิน เคลียร์ข้อพิพาททางกฎหมาย แล้วขายต่อให้ผู้ประกอบการต่างชาติ บางรายยังเดินหน้าไปไกลกว่านั้น – สร้างศูนย์ข้อมูลให้เช่า หรือแม้กระทั่งดำเนินการเองทั้งหมด แต่ความเฟื่องฟูนี้ก็มีความเสี่ยง เพราะการหลั่งไหลเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่อาจทำให้ตลาดล้นเกินและก่อให้เกิด “สงครามราคา” โดยเฉพาะในตลาดที่ยังใหม่เช่นนี้
“ถ้าคุณเปรียบเทียบอินเดียกับตลาดในอินโดนีเซีย ราคาของเราต่ำกว่ามาก เนื่องจากการแข่งขันราคาระหว่างผู้เล่นไม่กี่รายเพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่ม hyperscaler”
กล่าวโดย Devi Shankar ผู้อำนวยการบริหารอาวุโสของ CBRE India เธอยังเสริมว่า อาจมีการควบรวมกิจการเกิดขึ้นภายใน 2–3 ปีข้างหน้า ณ ตอนนี้ การแข่งขันยังเปิดกว้าง แต่ด้วยผู้เล่นนับสิบที่วิ่งไล่เป้าหมายเดียวกัน การรวมตัวหรือควบรวมกิจการดูจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่มา CNBC