.

อินโด‑แปซิฟิก เปลี่ยนสมการอำนาจ 'จีนก้าวขึ้นนำ อิทธิพลสหรัฐฯ ถดถอย' เมื่อ ทรัมป์ 'ปฏิเสธหลักนิติธรรมโลก'
18-10-2025
The Diplomat นำสเนอบทความเชิงวิเคราะห์ อิทธิพลสหรัฐฯ ในเอเชียลดลง จีน ได้เปรียบภายใต้ยุค Trump 2.0 ว่า การบริหารประเทศของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สมัยที่สองได้เปลี่ยนแปลงสมการอำนาจในเอเชียอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่กำลังกลายเป็นศูนย์กลางการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกาและจีน ขณะที่สหรัฐฯ หันกลับมาเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในประเทศ จีนกลับฉวยโอกาสนั้นขยายอิทธิพลทางการเมือง การทหาร และการลงทุนทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แปซิฟิกใต้ และที่อื่น
### จุดเริ่มต้นของการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์
การแข่งขันระหว่างสองขั้วอำนาจเริ่มรุนแรงตั้งแต่รัฐบาลทรัมป์สมัยแรก (2017–2021) และสืบต่อมาภายใต้รัฐบาล โจ ไบเดน (2021–2025) ซึ่งพยายามสร้างแนวร่วมยับยั้งการขยายอำนาจของจีนทั้งในมิติเทคโนโลยีและการทหาร รัฐบาลไบเดนใช้งบประมาณกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมขั้นสูงในประเทศ เสริมความร่วมมือกับพันธมิตรอินโด-แปซิฟิก เช่น กรอบ **QUAD (สหรัฐฯ-ออสเตรเลีย-อินเดีย-ญี่ปุ่น)** และข้อตกลง **AUKUS (สหรัฐฯ-สหราชอาณาจักร-ออสเตรเลีย)** รวมถึงการยับยั้งจีนผ่านการจำกัดส่งออกเทคโนโลยีชิปขั้นสูงและการคว่ำบาตรรัสเซียจากกรณีรุกรานยูเครน .
แต่เมื่อทรัมป์กลับเข้าสู่อำนาจในปี 2025 แนวนโยบายของสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนทิศทางโดยสิ้นเชิง การเปิดตัวชุดคำสั่งฝ่ายบริหาร (executive orders) ครั้งใหญ่ในช่วงแรกของรัฐบาลได้กลายเป็น “ช็อก” สำหรับภูมิภาค เพราะคราวนี้ทรัมป์มีอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือทั้งสภาคองเกรส ศาลสูง และคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีผู้แทนทางการทูตรายใดกล้าทัดทานเขาอีก .
### “อเมริกาต้องมาก่อน” และแนวโน้มโดดเดี่ยวใหม่
รัฐบาลทรัมป์ได้รื้อถอนนโยบาย “พันธมิตรเป็นศูนย์กลาง” ของไบเดน กลับไปสู่วิสัยทัศน์ “อเมริกาต้องมาก่อน” แบบดั้งเดิม นโยบายภายนอกจำนวนมากเลิกยึดกรอบพหุภาคี สหรัฐฯ ใช้กำแพงภาษีต่อแม้แต่ประเทศพันธมิตร เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย พร้อมเรียกร้องให้พวกเขาจ่ายเงินสนับสนุนกองทัพสหรัฐฯ มากขึ้นในนาม “ภาระแบ่งปัน” การลดเงินช่วยเหลือและบริจาคต่างประเทศทำให้บทบาทของสหรัฐฯ ในภูมิภาคลดลงทันที .
ประเทศคู่ค้าอย่างอินเดียถูกโจมตีหนักที่สุด เมื่อทรัมป์ออกภาษีศุลกากร 50–100% เพื่อตอบโต้การที่นิวเดลียังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ในขณะที่ปากีสถานคู่แข่งดั้งเดิมของอินเดีย กลับได้รับแรงสนับสนุนด้านการทหารเพิ่ม จนวิเคราะห์กันว่า วอชิงตันกำลัง “พลิกข้าง” ความสัมพันธ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียใต้ทั้งหมด .
### ผลลัพธ์ของสงครามภาษี: พลังต่อรองใหม่ของทรัมป์
แม้นโยบาย Trump 2.0 จะสร้างแรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจทั่วเอเชีย แต่ก็มีด้านที่เป็น “อำนาจต่อรอง” สำคัญ การใช้ตลาดสหรัฐฯ เป็นแรงกดดัน ทำให้จีนและรัฐบาลในอินโด-แปซิฟิกจำนวนมากยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจาทวิภาคีกับวอชิงตัน เพื่อผ่อนคลายภาระภาษี ในทางกลับกัน สหรัฐฯ ได้รับสิทธิ์การเข้าถึงตลาดต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงคำมั่นการลงทุนและการซื้อสินค้าเทคโนโลยีและทรัพยากรจากอเมริกา ขณะที่รายได้ภาษีช่วยบรรเทาการขาดดุลงบประมาณรุนแรงหลังมาตรการลดภาษีครั้งใหญ่ .
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า รายได้เหล่านี้อาจเป็นเพียงกำไรชั่วคราว เนื่องจากภาษีที่สูงขึ้นทำให้เศรษฐกิจถดถอยในระยะยาว และภาพลักษณ์สหรัฐฯ ในฐานะ “พันธมิตรที่ไว้ใจได้” กำลังถูกสั่นคลอน.
### ปฏิกิริยาในภูมิภาค: ระหว่างความจำเป็นกับความระแวง
ชาติในอินโด-แปซิฟิกส่วนใหญ่รับมือกับสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์อย่าง “จำใจและระมัดระวัง” ผู้นำหลายประเทศมองว่าสหรัฐฯ กลายเป็นคู่เจรจาที่เร่งผลประโยชน์ตัวเอง ไม่ต่างจากจีน โดยต่างมีแนวโน้มใช้ภาษี การลงทุน และการคว่ำบาตรเป็นเครื่องมือบีบบังคับคล้ายกัน .
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ต่างรู้สึกไม่พอใจกับการที่วอชิงตันขาดความเคารพต่อข้อตกลงเสรีการค้าและพันธกรณีที่มีอยู่ แต่ก็จำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากจีนและเกาหลีเหนือ ขณะที่ฟิลิปปินส์และปากีสถานแสดงท่าทีหนุนทรัมป์มากที่สุด แต่ก็ถูกมองว่าเป็นความร่วมมือแบบจำเป็น ไม่ใช่ศรัทธาทางยุทธศาสตร์
ในทางตรงกันข้าม หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น กัมพูชา เมียนมา อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย กลับเอนเอียงเข้าจีนมากขึ้น โดยไม่รู้สึกว่าจะมีอะไรต้องเสีย เพราะเห็นว่าจีนเสนอเงินลงทุนและโครงสร้างพื้นฐานโดยไม่ตั้งเงื่อนไขทางการเมืองเหมือนวอชิงตัน .
### จีน: ผู้ชนะเชิงยุทธศาสตร์ในระยะกลาง
ภายใต้บริบทใหม่นี้ ปักกิ่งเดินเกมอย่างระมัดระวังแต่ยาวนาน รัฐบาล Xi Jinping ยังคงใช้นโยบายทูตเชิงรุก มุ่งดึงพันธมิตรระยะสั้นของอเมริกาให้เข้าใกล้ตน จีนได้เพิ่มการค้า การลงทุน และความร่วมมือด้านความมั่นคงกับฟิจิ ปาปัวนิวกินี เมียนมา รวมถึงสมาชิกอาเซียนที่ยังไม่เลือกข้างอย่างไทย ข้อเสนออย่าง “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership)” ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการทูตที่ให้ผลดีอย่างต่อเนื่อง .
ในแง่เศรษฐกิจ จีนเองกำลังเผชิญภาวะอุปสงค์ในประเทศอ่อนแรงจากปัญหาอสังหาริมทรัพย์และประชากรสูงวัย ทำให้ต้องเร่งส่งออกสินค้าอย่างหนัก ผลคือสินค้าอุตสาหกรรมจีนล้นตลาดโลกและกระทบผู้ผลิตรายอื่นในเอเชีย แต่ปักกิ่งยังสามารถใช้เครดิตทางการค้าและการลงทุนเยียวยาประเทศที่ได้รับผลกระทบ สร้างความจงรักภักดีเชิงเศรษฐกิจต่อจีนเพิ่มขึ้นอย่างเงียบ .
### สรุป: อิทธิพลสหรัฐฯ ในเอเชียกำลังเสื่อม แต่ยังไม่ดับ
แม้จะมีข้อจำกัดมากมาย สหรัฐฯ ยังคงเป็นกำลังหลักในการคานดุลอำนาจในเอเชียเพราะพันธมิตรส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพาหลักประกันทางความมั่นคงของอเมริกา อย่างไรก็ตาม ภายใต้ทรัมป์สมัยที่สอง สหรัฐฯ กำลังถูกมองว่าเป็น “มหาอำนาจที่แข็งกร้าว คาดเดาไม่ได้ และมุ่งประโยชน์ฝ่ายตน” ทำให้ความร่วมมือเพื่อถ่วงดุลจีนอ่อนแรงลง
จีนจึงได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในช่วงกลางทศวรรษ 2020 โดยเฉพาะเมื่อประเทศในอินโด-แปซิฟิกจำนวนมากเริ่มมองว่า การเข้าใกล้ปักกิ่งอาจปลอดภัยกว่า การเดิมพันกับวอชิงตันที่เปลี่ยนทิศทางได้ทุกเมื่อ.
“ในที่สุด เอเชียอาจไม่ได้ต้องเลือกระหว่างสหรัฐฯ หรือจีน แต่จะเลือก ใครที่ไม่นำพาความวุ่นวายมาสู่ภูมิภาค” ประโยคนี้จากนักการทูตอาเซียนสะท้อนความรู้สึกของหลายประเทศได้ชัดเจนที่สุดในยุคทรัมป์ 2.0.
---
IMCT NEWS
ที่มา https://thediplomat.com/2025/10/trump-china-and-declining-us-influence-in-asia/?fbclid=IwY2xjawNeZF5leHRuA2FlbQIxMQABHjsyiwn3c0ojtjoYMODoOWOH2fCYqAdnXHTuiL2Yj2dXfReDsNY0KL6sBF5r_aem_dnbUoLGRpnDvP5UIZ9popQ