Morgan Stanley มองว่าราคาทองคำจะยังคงขึ้นต่อไปได้
Morgan Stanley มองว่าราคาทองคำจะยังคงขึ้นต่อไปได้
24-10-2025
แม้ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงในสัปดาห์นี้ แต่ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะขยายกำไรในปี 2025 ต่อไป เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าทำให้ธนาคารกลางและกองทุน ETF ยังคงซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง ตามรายงานจากนักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ของมอร์แกน สแตนลีย์
หลังจากราคาทองคำทะลุระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ราคาทองคำก็ชนกับแนวต้านที่ 4,380 ดอลลาร์ และวันที่ 21 ตุลาคมเป็นวันที่ทองคำปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบ 12 ปี
“อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำได้พุ่งขึ้นประมาณ 50% ในปี 2025 ซึ่งตอกย้ำสถานะว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีผลงานดีที่สุดในปีนี้” นักวิเคราะห์ระบุในโน้ตฉบับวันพุธ
นักวิเคราะห์กล่าวว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อเหตุการณ์สำคัญด้านนโยบาย ภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจในปีนี้ เช่น ภาษีนำเข้าสหรัฐ สงครามในตะวันออกกลาง ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของ Fed และการปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐ งานวิจัยของมอร์แกน สแตนลีย์คาดการณ์ว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำจะยังคงดำเนินต่อไป โดยได้ปรับเพิ่มประมาณการราคาทองคำในปี 2026 เป็น 4,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากประมาณการเดิมที่ 3,313 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหมายถึงการเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10% ภายในสิ้นปีหน้า
Amy Gower นักวางกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์โลหะและเหมืองแร่ของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า นักลงทุนมองทองคำไม่เพียงแค่เป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องชี้วัดที่สะท้อนทุกอย่างตั้งแต่นโยบายของธนาคารกลางจนถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
“เราคาดว่าจะมีการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำต่อไป โดยได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า การซื้อจากกองทุน ETF อย่างแข็งแกร่ง การซื้อจากธนาคารกลางอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนซึ่งช่วยเพิ่มความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยชนิดนี้”
งานวิจัยของมอร์แกน สแตนลีย์มองเห็นการสนับสนุนต่อเนื่องสำหรับแนวโน้มขาขึ้นของราคาทองคำจากหลายปัจจัย “เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1996 ที่ทองคำมีสัดส่วนในสำรองของธนาคารกลางมากกว่าพันธบัตรของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของความเชื่อมั่นในมูลค่าระยะยาวของทองคำ” นักวิเคราะห์กล่าว “กองทุนซื้อขายในตลาด (ETFs) ก็เป็นผู้ซื้อทองคำรายสำคัญด้วยเช่นกัน สะท้อนถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนสถาบัน กองทุน ETF ที่สนับสนุนด้วยทองคำแท้ได้มีเงินไหลเข้ามาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 26 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่สาม โดยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสิ้นสุดไตรมาสที่ 472 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งก็เป็นสถิติสูงสุดเช่นกัน”
หลังจากที่นักลงทุนรายย่อยอยู่เฉยๆ มานานสองปี ตอนนี้พวกเขาก็เริ่มเข้าร่วมกับการไล่ล่าทองคำแล้ว
“ในขณะที่ตลาดคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงจากโอกาสที่การเติบโตของเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกจะชะลอตัว นักลงทุนจำนวนมากจึงปรับพอร์ตสินทรัพย์ปลอดภัยจากสินทรัพย์ที่มีค่าในหน่วยดอลลาร์สหรัฐไปเป็นทองคำ” นักวิเคราะห์กล่าว “นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าก็ทำให้ทองคำมีราคาที่จับต้องได้มากขึ้นสำหรับผู้ซื้อทั่วโลก”
การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนราคาทองคำ โดยมอร์แกน สแตนลีย์ชี้ให้เห็นว่าตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ราคาทองคำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6% ใน 60 วันที่ตามหลังการเริ่มต้นรอบการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed
“ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้ คงไม่แปลกใจที่ทองคำจะอยู่ในอันดับต้นๆ ของสินทรัพย์ที่เราชื่นชอบในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์” แอมมี่ โกเวอร์ กล่าว อย่างไรก็ตาม แม้จะมีมุมมองบวก แต่ธนาคารก็เตือนว่าราคาทองคำอาจเผชิญความท้าทาย หากค่าเงินดอลลาร์ยังแข็งแกร่ง หรือหาก Fed ลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
“ยังมีความเสี่ยงที่ความต้องการจะลดลงจากราคาทองที่สูงขึ้น” โกเวอร์กล่าว “ตัวอย่างเช่น เมื่อราคาทองคำสูงขึ้น ธนาคารกลางก็อาจต้องซื้อทองคำน้อยลงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสำรองของตน”
เธอยังเสริมว่าตลาดเครื่องประดับซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการบริโภคทองคำถึง 40% อาจเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ “ความต้องการเครื่องประดับทองคำแสดงสัญญาณอ่อนตัวแล้ว” โกเวอร์กล่าว “ในไตรมาสที่สอง ความต้องการเครื่องประดับทองคำเป็นระดับแย่ที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่สามของปี 2020 เนื่องจากผู้บริโภคตอบสนองต่อราคาทองคำที่สูง”
ราคาทองคำที่พุ่งสูงสุดในประวัติศาสตร์ยังช่วยเพิ่มกระแสเงินสดและมูลค่าหุ้นของผู้ผลิตทองคำ “ผู้ผลิตบางรายกำลังนำเสนอโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการใหม่ ขยายอายุการใช้งานของเหมืองที่มีอยู่ หรือกลับมาเปิดดำเนินงานในหน่วยงานที่เคยถูกมองว่าไม่คุ้มทุน” รายงานระบุ
“อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหลายอย่างอาจนำไปสู่ความล่าช้าหรือการยกเลิกโครงการ เช่น ความยากลำบากในการขอใบอนุญาตด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับค่ารอยัลตีและภาษี รวมถึงข้อจำกัดทางการเงิน ในสหรัฐฯ ไม่มีเหมืองใหม่เปิดตั้งแต่ปี 2002”
แม้ว่าผู้ผลิตทองคำจะเพิ่มปริมาณเหมืองเพียง 0.3% ต่อปีตั้งแต่ปี 2018 มอร์แกน สแตนลีย์ยังมองว่าโอกาสที่จะเกิดซูเปอร์ไซเคิลของการลงทุนในภาคนี้มีน้อย
“ลูกค้าการทำเหมืองที่มีกำไรจะยังคงผลักดันให้โครงการต่างๆ ลดปัญหาคอขวดและสนับสนุนการเติบโตของงบลงทุนจนถึงสิ้นทศวรรษนี้” ไมเคิล ฮาร์ลอ นักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าว “แต่โครงการซูเปอร์ไซเคิลในรูปแบบการลงทุนใหม่ขนาดใหญ่มีแนวโน้มเกิดขึ้นน้อยมาก เนื่องจากข้อจำกัดด้านการอนุญาตและกฎระเบียบ”
ที่มา Kitco News