.
“โฆษกรัฐบาล” เผย รายละเอียดสำคัญในเอกสารลงนามสันติภาพ ไทย-กัมพูชา หยุดให้ข้อมูลเท็จ ย้ำ ทำตาม4เงื่อนไข ถึงจะพิจารณายุติความเป็นปรปักษ์ ปล่อยเชลยกลับคืน
27-10-2025
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การลงนาม Joint Declaration by the Prime Minister of the Kingdom of Cambodia and the Prime Minister of the Kingdom of Thailand on the outcomes of their meeting in Kuala Lumpur, Malaysia โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับสมเด็จฯ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย ประธานอาเซียน เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ถือเป็นก้าวสำคัญของทั้งสองประเทศ โดย Joint Declaration ที่มีการลงนามในวันนี้ มีสาระสำคัญ ดังนี้
1) ผู้นำไทยและกัมพูชาแสดงเจตนารมณ์ต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างสองประเทศ ตามที่เคยประกาศไว้ ณ เมืองปุตราจายา เมื่อ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยย้ำความมุ่งมั่นที่จะละเว้นการคุกคามและใช้กำลัง แก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ เคารพต่อเขตแดนและกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความรุ่งเรืองร่วมกันในภูมิภาค
2) สองประเทศยืนยันความมุ่งมั่นในการยึดมั่น และดำเนินการตามข้อตกลงที่ได้บรรลุร่วมกันในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป
3) สองประเทศได้ลงนามในเอกสาร “ขอบเขตการจัดตั้งกลไกผู้สังเกตการณ์อาเซียน” (ASEAN Observer Team: AOT) ซึ่งจะประกอบไปด้วยบุคลากรจากรัฐสมาชิกอาเซียน เพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงจะได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ โดยขอให้รัฐสมาชิกให้การสนับสนุนเพื่อให้ AOT ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจ
4) ให้คำมั่นที่จะลดความตึงเครียด ฟื้นฟูความเชื่อมั่น และความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ เพื่อบรรลุและสนับสนุนเป้าหมายเหล่านี้ ได้มีการตกลงในขั้นตอนดังต่อไปนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อตกลงหยุดยิงจะได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์
-ทั้งสองฝ่ายจะลดความตึงเครียดทางทหาร โดยจะถอนอาวุธหนักและยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดนภายใต้การสังเกตการณ์ของ AOT พร้อมมอบหมายคณะทำงานร่วมจัดทำแผนปฏิบัติการอย่างเป็นขั้นตอน
-ละเว้นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือวาทกรรมที่ยั่วยุความขัดแย้ง เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งสันติและความไว้วางใจระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ
-เห็นพ้องที่จะดำเนินมาตรการสร้างความเชื่อมั่นทันทีและเต็มรูปแบบ เพื่อฟื้นฟูและรักษาความเชื่อมั่น ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน แก้ไขความแตกต่างอย่างสันติ นำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ
-ประสานงานเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ชายแดน ตามที่ได้ตกลงในที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เพื่อปกป้องชีวิตพลเรือน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างสองประเทศ
-ยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนและจัดทำหลักเขตแดน โดยสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยละเว้นการคุกคามหรือใช้กำลัง และการกระทำที่เป็นการยั่วยุ โดยใช้กลไกทวิภาคีสำหรับการทำงานร่วมกัน ได้แก่ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) รวมถึงให้มีการประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดในระดับท้องถิ่น เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ในพื้นที่โดยสันติ รวมถึงการรุกล้ำพื้นที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีย้ำ ว่า ต้องมีการดำเนินการตามข้อ 1-4 แล้วเท่านั้น ทั้งสองประเทศจึงจะพิจารณายุติสถานะความเป็นปรปักษ์อย่างเป็นทางการ และจึงจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการปล่อยเชลยศึกชาวกัมพูชา เพื่อแสดงเจตนารมณ์แห่งมิตรภาพและสันติภาพ จากนั้นสองประเทศจึงจะพร้อมเพิ่มพูนร่วมมือด้านต่างๆ ต่อไป อาทิ การแบ่งปันข้อมูล การสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งของการตรวจสอบควบคุมตามแนวชายแดน รวมถึงการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในพื้นที่ชายแดน เพื่อให้สองประเทศมองไปข้างหน้าและเริ่มต้นพัฒนาความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนบ้านต่อไป นายสิริพงศ์ กล่าว
----------------------------------------
เปิดคำต่อคำ ถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา “อนุทิน-ฮุน มาเนต” เซ็น “ทรัมป์-อันวาร์” เป็นพยาน
27-10-2025
กระทรวงต่างประเทศเผยแพร่ถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา เดินหน้าสู่สันติภาพ ถอนอาวุธหนักกลับสู่ที่ตั้งเดิม วันนี้(26 ต.ค.) กระทรวงการต่างประเทศได้เผยแพร่คำแปลของ “ถ้อยแถลง ผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย” ดังนี้
ถ้อยแถลง ผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย พวกเรา นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทย และโดยมีประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา และนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นสักขีพยาน ได้พบกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ขอประกาศ ดังนี้
1. พวกเรายืนยันความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างสองประเทศ ตามที่ได้ประกาศไว้ ณ เมืองปุตราจายา มาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 และย้ำความมุ่งมั่นอย่างหนักแน่น ในการละเว้นการคุกคามหรือใช้กำลัง การแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ และการเคารพต่อเขตแดนระหว่างประเทศ และต่อกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรือง ในภูมิภาค บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกันต่อเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน และอัตลักษณ์แห่งชาติของแต่ละประเทศ
2. พวกเรายืนยันความมุ่งมั่นอย่างหนักแน่นในการยึดมั่นและดำเนินการตามข้อตกลงที่ได้บรรลุร่วมกัน ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป
3. พวกเราได้ลงนามในเอกสารขอบเขตการจัดตั้งกลไกผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) ซึ่งจะประกอบด้วยบุคลากรจากรัฐสมาชิกอาเซียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ พวกเราเรียกร้องให้รัฐสมาชิกอาเซียนให้การสนับสนุนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ AOT ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจให้บรรลุวัตถุประสงค์
4. นอกจากนี้ พวกเราได้ให้คำมั่นที่จะลดความตึงเครียดและฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชากับราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ เพื่อบรรลุและสนับสนุนเป้าหมายเหล่านี้ พวกเราได้ตกลงในขั้นตอนดังต่อไปนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อตกลงหยุดยิงจะได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์และ มีประสิทธิภาพ และเพื่อฟื้นฟูสันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดน:
-ดำเนินการลดความตึงเครียดทางการทหารภายใต้การสังเกตการณ์และการยืนยันตรวจสอบโดย AOT ซึ่งรวมถึงการถอนอาวุธและยุทโธปกรณ์หนักและทำลายล้างสูงออกจากแนวชายแดน และนำกลับไปยังที่ตั้งปกติของหน่วยทหารแต่ละประเทศ ในบริบทดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายจะมอบหมายให้คณะทำงานของแต่ละฝ่ายร่วมกันหารือเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปเรื่องการจัดทำแผนปฏิบัติการที่ปฏิบัติได้และเป็นขั้นตอน ภายใต้การสังเกตการณ์โดยคณะผู้สังเกตการณ์การหยุดยิงชั่วคราว (IOT) และหลังจากนั้นโดย AOT ตามที่กำหนดในเอกสารขอบเขตการจัดตั้ง
-ละเว้นการเผยแพร่หรือส่งเสริมการใช้ข้อมูลเท็จ การกล่าวอ้าง การกล่าวหา และวาทกรรมที่สร้างความเสียหาย ไม่ว่าจะผ่านช่องทางที่เป็นทางการของรัฐบาลหรือช่องทางไม่เป็นทางการ เพื่อลดความตึงเครียด บรรเทาความรู้สึกเชิงลบของสาธารณชน และสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการหารืออย่างสันติ
-เห็นพ้องที่จะดำเนินมาตรการสร้างความเชื่อมั่นโดยทันทีและเต็มรูปแบบเพื่อฟื้นฟูและรักษาความเชื่อมั่นความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และสันติภาพตามแนวชายแดน และเพื่อแก้ไขความแตกต่างอย่างสันติ ด้วยความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี มิตรภาพ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และร่วมมือเพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ
-ประสานงานและดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ชายแดนตามที่ได้ตกลงกันในที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป เพื่อปกป้องชีวิตของพลเรือนและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างสองประเทศ
-ยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนและการจัดทำหลักเขตแดน ผ่านสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยละเว้นการคุกคามหรือใช้กำลัง หรือการกระทำที่เป็นการยั่วยุใด ๆ และตระหนักว่า คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นกลไกทวิภาคีสำหรับการทำงานร่วมกันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชายแดนอย่างสันติ โดยให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละกลไก โดยให้มีการประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดในระดับท้องถิ่น เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ในพื้นที่ให้เป็นไปโดยสันติ ซึ่งรวมถึงประเด็นการรุกล้ำพื้นที่ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ตามแนวทางของผลการหารือในการประชุม JBC ตลอดจนจะยุติกิจกรรมทุกประเภทที่เป็นการขยายขอบเขตข้อพิพาทและเพิ่มความตึงเครียดมากขึ้น
5. เมื่อมีการดำเนินการตามมาตรการข้างต้นอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับว่าเป็นการสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์ที่ดำเนินอยู่ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศไทยในการส่งเสริมความเชื่อมั่น และความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ไทยจะดำเนินการปล่อยเชลยศึกโดยพลัน
6. พวกเราตกลงที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือ การแบ่งปันข้อมูล และการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งของการตรวจสอบควบคุมตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพลเมืองของเราทั้งสองประเทศและประชาคมระหว่างประเทศ
7. พวกเราตระหนักถึงความจำเป็นในการวางแนวทางเพื่ออนาคตที่สดใสที่ไม่ยึดติดกับความขัดแย้งในอดีต รัฐบาลทั้งสองฝ่ายยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ โดยเคารพในกฎหมายระหว่างประเทศและสนธิสัญญาและความตกลงที่มีอยู่ สภาวการณ์ต่าง ๆ ได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้ทั้งสองประเทศมองไปข้างหน้าและ เริ่มต้นพัฒนาความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนบ้าน ตามเจตนารมณ์และหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติและหลักการในกฎบัตรอาเซียนเกี่ยวกับการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติ ซึ่งจะเป็นการปูทางไปสู่บทใหม่ของสันติภาพ และความร่วมมือระหว่างสองประเทศ
8. พวกเราแสดงความเชื่อมั่นว่า การหารือครั้งนี้ ซึ่งมีประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย เข้าร่วมและให้การสนับสนุน เป็นรากฐานที่มั่นคงต่อความเคารพซึ่งกันและกันและการส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค พวกเรารับทราบด้วยความขอบคุณอย่างยิ่งต่อบทบาทสำคัญ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ในการเสริมสร้างการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคีที่เป็นประโยชน์ระหว่าง ราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทย
ลงนาม ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568 จำนวน 4 ฉบับ เป็นภาษาอังกฤษ
นายฮุน มาแนด นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทย
เป็นพยานโดย นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายโดนัลด์ เจ ทรัมป์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
IMCT News
------------------------------
ทรัมป์นำการประชุมสุดยอดอาเซียน ไทย-กัมพูชาลงนามข้อตกลงหยุดยิง
27-10-2025
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางถึงมาเลเซียเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อวันอาทิตย์ โดยเขามีกำหนดเป็นสักขีพยานในข้อตกลงหยุดยิงที่ขยายผลระหว่างไทยกับกัมพูชา และดูแลการเจรจาการค้าครั้งสำคัญ ภารกิจแรกของทรัมป์ที่การประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือการสังเกตการณ์ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและไทย หลังจากที่เขามีบทบาทช่วยเจรจาสิ้นสุดความขัดแย้งชายแดนรุนแรงเป็นเวลาห้าวันในเดือนกรกฎาคม
ข้อตกลงนี้ต่อยอดจากการหยุดยิงที่มีขึ้นเมื่อสามเดือนก่อน หลังจากทรัมป์โทรศัพท์ถึงผู้นำทั้งสองประเทศในขณะนั้น เพื่อเรียกร้องให้ยุติความรุนแรง มิฉะนั้น การเจรจาการค้ากับวอชิงตันอาจถูกระงับ
ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษกันและกันว่าเป็นต้นเหตุของการแลกเปลี่ยนขีปนาวุธและอาวุธหนักเป็นเวลา 5 วัน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 48 คน และทำให้ประชาชนราว 300,000 คนต้องอพยพชั่วคราว ถือเป็นความรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ล่าสุด
นายกรัฐมนตรีไทย อนุทิน ชาญวีรกูล เกือบพลาดพิธีลงนามหลังการสวรรคตของ สมเด็จพระราชชนนีสิริกิติ์ เมื่อวันศุกร์ แต่ต่อมาตัดสินใจเดินทางมาร่วมพิธี
ทรัมป์ได้รับการต้อนรับจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม พร้อมกับนักเต้นพิธีกรรมเมื่อเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ เขาหยุดบนพรมแดงเพื่อร่วมเต้นกับนักแสดง ก่อนที่จะถือธงสหรัฐฯ ในมือหนึ่งและธงมาเลเซียในอีกมือหนึ่ง จากนั้นขึ้นรถลีมูซีนเดินทางสู่ตัวเมืองพร้อมกับอันวาร์
การเจรจาการค้า
ขณะที่ทรัมป์พบปะกับผู้นำคนอื่น ๆ เจ้าหน้าที่เจรจาการค้าของสหรัฐฯ และจีนจะพบกันข้าง ๆ การประชุมเพื่อลดความตึงเครียดเพิ่มเติมในสงครามการค้าระหว่างสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีการพูดถึงแรร์เอิร์ธ (rare earth) ในการเจรจาที่เริ่มขึ้นเมื่อวันเสาร์หรือไม่ เจมิสัน กรีร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ กล่าวว่า มีการหารือประเด็นต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง รวมถึงการต่ออายุข้อตกลงหยุดชั่วคราวเกี่ยวกับมาตรการการค้า
“ผมคิดว่าเรากำลังมาถึงจุดที่ผู้นำจะมีการประชุมที่สร้างสรรค์มาก ๆ” กรีร์กล่าว
ทรัมป์ยังมีกำหนดหารือเกี่ยวกับภาษีสหรัฐฯ ที่สูงกับ ประธานาธิบดีบราซิล ลุยซ์ อินาซิโอ ลูล่า ดา ซิลวา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำหลายประเทศที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดสุดสัปดาห์นี้
ลูล่ากล่าวว่าเขาวางแผนที่จะโต้แย้งว่าภาษีร้อยละ 50 ที่วอชิงตันเก็บกับสินค้าบราซิลเป็น “ความผิดพลาด” โดยยกตัวอย่างส่วนเกินการค้าสหรัฐฯ กับบราซิลที่ 410 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ทรัมป์ก็ส่งสัญญาณระหว่างเดินทางไปเอเชียว่าเขาพร้อมพิจารณาลดภาษี
สมาชิกอาเซียนใหม่
ประเทศเอเชียที่อายุน้อยที่สุด ติมอร์-เลสเต กลายเป็นสมาชิกอาเซียนลำดับที่ 11 เมื่อวันอาทิตย์ เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีคนปัจจุบันของประเทศตั้งแต่สมัยยังเป็นอาณานิคมโปรตุเกสเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษก่อน
ติมอร์-เลสเต หรือที่รู้จักกันในชื่อ ติมอร์ตะวันออก ซึ่งมีประชากร 1.4 ล้านคน เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในเอเชีย และหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากการรวมเศรษฐกิจที่เพิ่งเริ่มเติบโตของตน ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับ GDP รวม 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ของอาเซียน
การเข้าร่วมอาเซียนของติมอร์-เลสเตเกิดขึ้นหลังจากรอคอยมา 14 ปี แม้ว่าการเป็นสมาชิกจะไม่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างใหญ่ แต่ถือเป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ของ ประธานาธิบดี โจเซ รามอส-ฮอร์ตา และ นายกรัฐมนตรีซานานา กุสมาโอ ฮีโร่แห่งการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศ
ที่มา CNBC