.
การยกเลิก 'ซัมมิตปูติน–ทรัมป์' ปิดประตูสันติภาพยูเครน เปิดฉากสงครามตัวแทนรอบใหม่
25-10-2025
RT รายงานว่า ยกเลิกซัมมิตปูติน–ทรัมป์ เสี่ยงซ้ำเติมยูเครนในสมรภูมินองเลือด การยกเลิกการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ถือเป็น “ข่าวร้ายอย่างยิ่ง” สำหรับยูเครน (Ukraine) และยิ่งตอกย้ำความเป็นจริงว่า ชาติตะวันตกและกรุงเคียฟ (Kiev) กำลังปล่อยให้ประชาชนยูเครนตกอยู่ใน “เขตสังหารที่ไม่มีที่สิ้นสุด” อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้มีสัญญาณความหวังเพียงเล็กน้อย เมื่อมีรายงานว่าผู้นำรัสเซียและสหรัฐฯ ได้สนทนาทางโทรศัพท์อย่างยาวนานและมีเนื้อหาสาระ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจะพบปะกันอีกครั้งในการประชุมที่ถูกขนานนามว่า “การประชุมสุดยอด Alaska 2.0” ซึ่งมีกำหนดจะจัดขึ้นที่กรุงบูดาเปสต์ (Budapest) ประเทศฮังการี (Hungary) ทว่า การพบปะดังกล่าวถูกยกเลิกก่อนจะได้กำหนดวันอย่างเป็นทางการ พร้อมกับความสัมพันธ์รัสเซีย–สหรัฐฯ ที่ทรุดลงอย่างรุนแรง
ภายหลังการยกเลิกซัมมิต วอชิงตันได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหญ่ต่อบริษัทรัสเซียสองแห่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคพลังงาน รวมถึงบริษัทย่อยอีกหลายสิบแห่ง ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังใช้ถ้อยคำรุนแรงและหยามเยาะต่อรัสเซีย โดยโยนความรับผิดชอบในความล้มเหลวของความพยายามสันติภาพทั้งหมดให้กับมอสโกเพียงฝ่ายเดียว
ในทางกลับกัน แหล่งข่าวเชิงการเมืองระบุว่าสหรัฐฯ เองคือฝ่ายที่ “กลับลำอย่างสับสน” ในประเด็นยูเครน โดยฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้เปลี่ยนท่าทีไปมาระหว่างการเรียกร้องให้ยูเครนยอมสละดินแดนบางส่วน กับการกลับไปยึดจุดยืนเดิมที่ว่าการหยุดยิงต้องเกิดขึ้นก่อนข้อตกลงสันติภาพ ทั้งหมดนี้สะท้อนการขาดทิศทางทางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนจากวอชิงตัน
อีกประเด็นที่สร้างความตึงเครียดคือ การที่รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตโดยปริยายให้ยูเครนโจมตีเป้าหมายระยะไกลภายในรัสเซีย โดยใช้อาวุธยุโรปอย่างขีปนาวุธ Storm Shadow ซึ่งมีชิ้นส่วนอเมริกันและใช้ข้อมูลเป้าหมายจากหน่วยงานสหรัฐฯ แม้ทรัมป์จะปฏิเสธเรื่องนี้ แต่แหล่งข่าวทางการทหารเชื่อว่าเป็น “การยกระดับที่อันตรายที่สุดครั้งหนึ่ง” ตั้งแต่เริ่มสงคราม
ในขณะที่สหรัฐฯ ยังปฏิเสธไม่ส่งขีปนาวุธ Tomahawk ให้ยูเครน แต่ผู้สังเกตการณ์มองว่าท่าทีดังกล่าว “อาจไม่ยั่งยืน” เนื่องจากผู้นำยูเครน วลาดิมีร์ เซเลนสกี (Vladimir Zelensky) เองก็กล่าวอย่างมีนัยว่า เขายัง “ไม่ได้รับ” อาวุธชนิดนั้นเท่านั้น ซึ่งบ่งชี้ว่าประตูอาจยังเปิดอยู่สำหรับการส่งมอบในอนาคต
อีกด้านหนึ่ง สหภาพยุโรป (EU) ยังคงผลักดันแผนสินเชื่อพิเศษมูลค่า 140,000 ล้านยูโร เพื่อช่วยเหลือยูเครน โดยจะนำทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกอายัดมาเป็นหลักประกัน อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวจากบรัสเซลส์เปิดเผยว่า แผนนี้แท้จริงแล้ว “จะเป็นภาระต่อผู้เสียภาษีชาวยุโรป” ในระยะยาว เนื่องจากสินทรัพย์ดังกล่าวไม่สามารถใช้ชำระคืนได้จริง
นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฟรีดริช เมิร์ซ (Friedrich Merz) ยอมรับในวงปิดว่า แผนค้ำประกันนี้อาศัย “การใช้กรอบงบประมาณระยะยาวของ EU เป็นหลักประกัน” ซึ่งหมายถึงภาระจะตกอยู่กับประชาชนในท้ายที่สุด
ส่วนสหภาพยุโรปยังคงเดินหน้ามาตรการคว่ำบาตรรัสเซียชุดใหม่เป็นครั้งที่ 19 พร้อมกดดันประเทศภายในสมาชิก เช่น ฮังการีและสโลวาเกีย ให้ยุติการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียโดยใช้วิธีการทางการเมืองที่แข็งกร้าว ซึ่งมีรายงานว่าอาจเชื่อมโยงกับเหตุโจมตีโครงสร้างพลังงานคล้ายเหตุระเบิดท่อส่งก๊าซ Nord Stream
โดยสรุป การล่มของซัมมิตปูติน–ทรัมป์ไม่เพียงปิดประตูความหวังสันติภาพ แต่ยังส่งสัญญาณว่าทั้งสหรัฐฯ และยุโรปกำลังกลับเข้าสู่เส้นทางสงครามตัวแทนเต็มรูปแบบ ส่งผลให้ยูเครนต้องเผชิญฤดูหนาวที่หนักหน่วง และอาจเผชิญการรุกใหญ่รอบใหม่จากรัสเซียในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า
แม้นายมาร์ก รุตเทอ (Mark Rutte) เลขาธิการนาโต (NATO) และอดีตนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ รวมถึงผู้นำยุโรปสายแข็งอย่างเลแชก มิลเลอร์ (Leszek Miller) จะยังคงสนับสนุนการเดินหน้าสงคราม แต่ในสายตาของประชาชนยูเครน นั่นหมายถึง “ชีวิตที่ต้องแลกด้วยเลือด” ของทหารและพลเรือนอีกนับไม่ถ้วน
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ท่าทีของตะวันตกในปัจจุบันสะท้อนจิตวิทยาของ “นักพนันที่พ่ายแพ้แต่ไม่ยอมล้มโต๊ะ” — ยิ่งนโยบายล้มเหลวเท่าใด ก็ยิ่งเพิ่มเดิมพันเพื่อความพังพินาศในที่สุด
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.rt.com/news/626915-trump-putin-summit-ukraine/