4 บทเรียนถอดรหัส 200 ปี การเงิน-การลงทุน
4 บทเรียนประวัติศาสตร์ ถอดรหัส 200 ปี การเงิน-การลงทุน 'หุ้นต้านเงินเฟ้อ เงินสดเหมาะแค่ฉุกเฉิน–ทองคำดีแต่ไม่แน่นอน'
29-10-2025
Bloomberg รายงานว่า สี่บทเรียนทางการเงินจากประวัติศาสตร์ 200 ปี สำหรับนักลงทุนระยะยาว รายงาน Long-Term Asset Return ล่าสุดจากสถาบันวิจัยของ ดอยซ์แบงก์ (Deutsche Bank Research Institute) ได้รวบรวมข้อมูลผลตอบแทนที่แท้จริง (หลังหักเงินเฟ้อ) ของสินทรัพย์หลากหลายประเภท ครอบคลุมระยะเวลา 200 ปี และ 56 ตลาดทั่วโลก บทวิเคราะห์ดังกล่าวได้เผยให้เห็นบทเรียนทางการเงินที่สำคัญสี่ประการสำหรับนักลงทุนระยะยาว
1. เงินสดมีไว้เพื่อเหตุฉุกเฉินเท่านั้น
แม้ว่าเงินสดจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกองทุนฉุกเฉิน (ประมาณ 3-6 เดือนของรายได้) และมีประโยชน์ในการฉวยโอกาสลงทุน แต่ในระยะยาว เงินสดกลับเป็น สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุด
เงินสด (Cash) มีมูลค่าลดลงเฉลี่ย -2% ต่อปีในรูปของผลตอบแทนที่แท้จริง (หลังหักเงินเฟ้อ) ตลอดระยะเวลา 200 ปี
ตั๋วเงิน (Bills) ซึ่งเทียบเท่ากับเงินฝากธนาคารที่มีดอกเบี้ย ให้ผลตอบแทนที่แท้จริงเพียง 1.9% ต่อปี
ในทางตรงกันข้าม ตราสารทุน (Equities) หรือหุ้น ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 4.9% ต่อปี ขณะที่ พันธบัตรรัฐบาล (Government Bonds) ให้ผลตอบแทน 2.6% ต่อปี แม้ว่าจะมีช่วงเวลา 25 ปี ที่หุ้นให้ผลตอบแทนต่ำกว่าเงินสด (ประมาณ 7.5% ของช่วงเวลาทั้งหมด) แต่กรณีส่วนใหญ่เกิดขึ้นในยุโรปหรือญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลก ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้น ไม่เคยมีช่วงเวลา 25 ปีใดที่หุ้นให้ผลตอบแทนที่แท้จริงต่ำกว่าเงินสดเลยตลอด 150 ปีที่ผ่านมา บทเรียนจึงชัดเจนว่า การลงทุนในระยะยาวควรหลีกเลี่ยงการพึ่งพาเงินสด
2. ตราสารทุนทนทานต่อเงินเฟ้อที่ระดับปานกลางถึงสูง
สำหรับนักลงทุนที่กังวลเกี่ยวกับสภาวะเงินเฟ้อ บทวิเคราะห์ของดอยซ์แบงก์ชี้ว่า ตราสารทุน (Equities) ทำหน้าที่เป็น เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (inflation hedge) ได้ดี เนื่องจากเป็นการถือครองกรรมสิทธิ์ในธุรกิจจริง
ที่น่าสนใจคือ ตราสารทุนยังคงให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมในระยะยาว แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงถึง 9% ผลตอบแทนจะเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญก็ต่อเมื่ออัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงกว่า 9% เท่านั้น นั่นหมายความว่า ในสภาวะเงินเฟ้อที่ไม่รุนแรงสุดขั้วในทางประวัติศาสตร์ หุ้นยังคงเป็นทางเลือกที่มั่นคง
3. พันธบัตรรัฐบาลอาจยังไม่ "ราคาถูก"
ความกังวลเกี่ยวกับงบดุลของรัฐบาลยังคงมีอยู่ แม้ว่านักลงทุนบางส่วนอาจเริ่มรู้สึกว่าความกังวลเหล่านี้เกินจริงไปบ้าง แต่หากอิงตามประวัติศาสตร์ ตลาดตราสารหนี้อาจยังห่างไกลจากอาณาเขตของ "ราคาถูก"
ข้อมูลในอดีตแนะนำว่า นักลงทุนมักจะได้ผลตอบแทนที่แท้จริงเป็นบวกอย่างมีเสถียรภาพจากพันธบัตรรัฐบาล ก็ต่อเมื่อ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระบุ (nominal policy rates) ของธนาคารกลาง อยู่เหนือระดับ 4% และอยู่ในช่วงขาขึ้น
หลักการลงทุนในพันธบัตรมีความคล้ายคลึงกับหุ้น คือการเข้าซื้อเมื่อราคาถูกจะนำมาซึ่งผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว การลงทุนเมื่ออัตราผลตอบแทนเริ่มต้นและอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย แสดงว่าคุณกำลังซื้อพันธบัตรเมื่อราคาถูก และมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีกว่าการซื้อในช่วงที่อัตราผลตอบแทนต่ำ
4. ทองคำ: ไม่ใช่ความมั่นคงแบบไม่มีความเสี่ยง (Gold: neither stable nor absolute hedge):
ทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความร้อนแรงที่สุดในช่วงที่ผ่านมkนั้น ได้ให้ผลตอบแทนที่แท้จริงเฉลี่ยเพียง 0.4% ต่อปี ตลอดสองศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่ามัน ชนะแค่เงินสด ที่เก็บไว้ใต้ที่นอน แต่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตั้งแต่ปี 1971 (จุดที่โลกยกเลิกมาตรฐานทองคำโดยสมบูรณ์) ผลตอบแทนที่แท้จริงรายปีของทองคำอยู่ที่ 4.75% และที่โดดเด่นที่สุดคือ ตั้งแต่ปี 1999 ทองคำได้เอาชนะสินทรัพย์ทั้งหมด โดยให้ผลตอบแทนที่แท้จริงเฉลี่ย 7.4% ต่อปี เทียบกับหุ้นสหรัฐฯ ที่ 5.8%
เนื่องจากทองคำได้ทำผลงานในระดับสูงสุดของค่าเฉลี่ยทางประวัติศาสตร์ในช่วงระยะเวลานี้ นักวิเคราะห์จึงประเมินว่า เป็นเรื่องยากที่ทองคำจะรักษาอัตราผลตอบแทนในระดับดังกล่าวได้ตลอด 25 ปีข้างหน้า
ดังนั้น บทเรียนที่สำคัญที่สุดในการจัดสรรสินทรัพย์คือ การประเมินมูลค่ามีความสำคัญ นักลงทุนควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ เมื่อสินทรัพย์นั้นมีราคาถูก และควรชะลอการขยายสัดส่วนเมื่อสินทรัพย์นั้นมีราคาแพง
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.bloomberg.com/news/newsletters/2025-10-27/four-history-lessons-for-long-term-investors?utm_source=website&utm_medium=share&utm_campaign=copy