นโยบายสายเหยี่ยวของนายกฯ ญี่ปุ่น “ทาคาอิจิ”
นโยบายสายเหยี่ยวของนายกฯ ญี่ปุ่น “ทาคาอิจิ” ดันเอเชียตะวันออก–ช่องแคบไต้หวันเข้าใกล้ความเสี่ยงสงคราม
18-12-2025
Asia Times นโยบายสายเหยี่ยวของนายกรัฐมนตรีซาเอะ ทาคาอิจิ (Sanae Takaichi) ถูกมองว่าเป็นตัวเร่งให้สมดุลความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเคลื่อนเข้าใกล้ความเสี่ยงเผชิญหน้าทางทหารมากขึ้น ภายในเวลาเพียงสองเดือนหลังเข้ารับตำแหน่ง ทาคาอิจิได้ทำลาย “ความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์” ที่ญี่ปุ่นรักษามาตลอดยุคหลังสงคราม และเลือกประกาศจุดยืนอย่างเปิดเผยต่อกรณีไต้หวัน
กรอบการยับยั้งของญี่ปุ่นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองตั้งอยู่บนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญมักถูกเรียกว่า “บทบัญญัติแห่งสันติภาพ” แต่การยับยั้งการใช้อาวุธถูกออกแบบให้ผูกอยู่กับการควบคุมโดยพลเรือนภายใต้กรอบความมั่นคงร่วมกับสหรัฐฯ มากกว่าจะเป็นการปลดอาวุธถาวร มาตรา 66 ระบุให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต้องเป็นพลเรือน ซึ่งนำไปสู่การบัญญัติคำศัพท์ใหม่ “bunmin” เพื่อใช้แยกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกจากทหารอาชีพ ขณะเดียวกัน กฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 ก็ยืนยันสิทธิในการป้องกันตนเองทั้งแบบเดี่ยวและแบบรวมหมู่เมื่อถูกโจมตีด้วยอาวุธ
แนวทางเชิงยุทธศาสตร์นี้ได้รับการตกผลึกเป็น “ยุทธศาสตร์โยชิดะ” ในสมัยนายกรัฐมนตรีชิเงรุ โยชิดะ (Shigeru Yoshida) ซึ่งเลือกใช้ความยับยั้ง การพึ่งพาสหรัฐฯ และความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์เป็นเครื่องมือหลักในการรักษาความมั่นคงของญี่ปุ่น โยชิดาประเมินว่าความหวาดระแวงของสหรัฐฯ ยุโรป และประเทศเพื่อนบ้านต่อการฟื้นอำนาจทางทหารของญี่ปุ่นจะจำกัดข้อเรียกร้องจากวอชิงตันเรื่องการเสริมกำลังกองทัพญี่ปุ่น และกลับกลายเป็นแต้มต่อที่เปิดทางให้โตเกียวทุ่มทรัพยากรไปกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพภายในประเทศ
คำอธิบายที่โยชิดาเคยให้ไว้กับคิอิจิ มิยาซาวะ (Kiichi Miyazawa) สะท้อนตรรกะดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เขามองว่าวันที่ญี่ปุ่นจำเป็นต้องเพิ่มอำนาจทางทหารจะมาถึงเองเมื่อฐานะความเป็นอยู่ฟื้นตัว และตราบใดที่รัฐธรรมนูญยังเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธแรงกดดันด้านการทหารจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่นก็สามารถ “ปล่อยให้อเมริกันดูแลความมั่นคงไปก่อน” แนวคิดนี้วางอยู่บนความเชื่อว่าสงครามเย็นจะบีบให้สหรัฐฯ คงกำลังในญี่ปุ่นโดยอัตโนมัติ และการมีอยู่ของกองกำลังอเมริกันเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอต่อการยับยั้งสหภาพโซเวียต
ความคิดแบบ “พาณิชย์นิยมในโลกจริง” นี้ถูกสืบทอดโดยนักการทูตและนักยุทธศาสตร์ญี่ปุ่นในรุ่นถัดมา ฮิซาฮิโกะ โอกาซากิ (Hisahiko Okazaki) เคยเตือนในปี 1979 ว่าประเทศ “แองโกล-แซกซอน” มีสถาบันที่ดูอ่อนแอแต่พิสูจน์ความยืดหยุ่นได้เสมอ และการคงยืนอยู่ใต้ร่มเงาของพวกเขาจะทำให้ญี่ปุ่นปลอดภัยอย่างน้อยสองทศวรรษ
ทาคาอิจิเดินออกจากกรอบนี้อย่างชัดเจน อดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ (Shinzo Abe) เคยค่อยๆ กัดเซาะยุทธศาสตร์โยชิดะผ่านการตีความรัฐธรรมนูญใหม่และการเพิ่มบทบาทกองกำลังป้องกันตนเอง แต่ทาคาอิจิไปไกลกว่านั้นด้วยการเป็นผู้นำญี่ปุ่นคนแรกที่ประกาศอย่างเปิดเผยว่า ญี่ปุ่นจะเข้าปกป้องไต้หวันหากจีนเปิดฉากโจมตี
การประกาศเช่นนี้ตัดทิ้งความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์และยกบทบาทญี่ปุ่นขึ้นจาก “ผู้รับผลประโยชน์จากการคานอำนาจ” ไปสู่ “คู่ขัดแย้งโดยตรง” ในสถานการณ์ฉุกเฉินช่องแคบไต้หวันโดยปริยาย ข้อมูลจากแพลตฟอร์มด้านกลาโหมของเกาหลีใต้ BEMIL ระบุว่า สถานการณ์จำลองด้านไต้หวันของจีนในปัจจุบันรวมถึงทางเลือก “โจมตีญี่ปุ่นล่วงหน้า” เพื่อทำให้กำลังสหรัฐฯ ที่ประจำการล่วงหน้าในญี่ปุ่นหมดสภาพการรบ แผนดังกล่าวพูดถึงการยิงขีปนาวุธจากแผ่นดินใหญ่และเรือดำน้ำนิวเคลียร์โจมตีเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของญี่ปุ่น รวมถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยไม่ได้มุ่งยึดครองดินแดน แต่ต้องการทำให้ญี่ปุ่น “เป็นอัมพาต”
ในกรอบนี้ การยืนยันอย่างชัดแจ้งว่าจะร่วมรบหากไต้หวันถูกโจมตีไม่ได้เสริมสร้างการยับยั้ง แต่กลับยกระดับญี่ปุ่นให้กลายเป็นเป้าหมายหลักในแผนฉุกเฉินของจีน ด้านความสัมพันธ์กับวอชิงตัน ทาคาอิจิถูกจับตามองว่าอาจประเมิน “เจตจำนงของสหรัฐฯ” สูงเกินจริง เธอวางสมมติฐานว่าความชัดเจนในคำประกาศของญี่ปุ่นย่อมได้มาซึ่งความชัดเจนแบบเดียวกันจากฝ่ายอเมริกัน อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ในอดีตและท่าทีของสหรัฐฯ ยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สะท้อนความจริงอีกด้าน นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจภายในมากกว่าคำมั่นด้านพันธมิตรในเชิงนามธรรม
อดีต “Nixon Shock” ในปลายทศวรรษ 1960 เป็นตัวอย่างหนึ่ง เมื่อการส่งออกสิ่งทอของญี่ปุ่นกระทบฐานเสียงภาคใต้ของสหรัฐฯ ซึ่งมีความสำคัญต่อการเลือกตั้งของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ความไม่พอใจต่อโตเกียวที่ไม่ลดการส่งออกตามที่วอชิงตันต้องการ นำไปสู่การตัดสินใจฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ ในการเปิดสัมพันธ์กับจีนโดยไม่ปรึกษาญี่ปุ่นล่วงหน้า เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เมื่อผลประโยชน์การเมืองภายในชนกับความคาดหวังจากพันธมิตร สหรัฐฯ เลือกปกป้องสิ่งแรกก่อน
รูปแบบนี้สะท้อนให้เห็นอีกครั้งในยุคทรัมป์ ฐานการเมืองหลัก เช่น เกษตรกรสหรัฐฯ และบทบาทของจีนในฐานะผู้นำเข้าผลผลิตเกษตรรายใหญ่ มีน้ำหนักต่อการตัดสินใจในประเด็นที่แตะถึงการค้าและภาษีมากกว่าปัจจัยด้านพันธมิตร เอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ปี 2025 ยืนยันการเปลี่ยนมุมมองจาก “พันธมิตรต้องพึ่งพา” ไปสู่ “พันธมิตรที่ต้องแสดงผลประโยชน์จับต้องได้”
นอกจากนั้น ทาคาอิจิยังทำให้ความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรเพียงรายเดียวที่จำเป็นอย่างยิ่งในภูมิภาค แปรสภาพเป็นความตึงเครียดอีกครั้ง เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม เธอย้ำจุดยืนว่ากลุ่มเกาะทาเคชิมะ (Takeshima) หรือ “Dokdo” ในชื่อเกาหลี และที่รู้จักกันในนาม Liancourt Rocks คือ “ดินแดนที่เป็นกรรมสิทธิ์โดยชอบธรรมของญี่ปุ่นทั้งตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และกฎหมายระหว่างประเทศ”
รัฐบาลโซลตอบกลับอย่างรุนแรง ถือเป็นความขัดแย้งทางการทูตครั้งสำคัญครั้งแรกตั้งแต่ประธานาธิบดีอี แจ มยอง (Lee Jae Myung) เข้ารับตำแหน่งด้วยเจตนาจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับโตเกียว ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ต้องอาศัยความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างญี่ปุ่น–เกาหลีใต้ในการรับมือทั้งจีนและเกาหลีเหนือ ท่าทีดังกล่าวของทาคาอิจิถูกมองว่าเป็นการเลือก “ตอบโจทย์การเมืองภายใน” มากกว่าการยับยั้งเชิงยุทธศาสตร์
ภาพรวมจึงสะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากยุทธศาสตร์หลังสงคราม ที่เน้นเพิ่มความมั่นคงโดยลดการเปิดเปลือยของญี่ปุ่น ภายใต้ร่มเงาของสหรัฐฯ และความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์ ไปสู่แนวทางใหม่ที่เปิดหน้าแสดงเจตจำนงทางทหารอย่างชัดเจน แต่ยังไม่มีหลักนิยมใหม่ ระดับฉันทามติในภูมิภาค หรือหลักประกันจากวอชิงตันที่น่าเชื่อถือมารองรับ การเคลื่อนตัวเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ญี่ปุ่นปลอดภัยขึ้น หากกลับดึงประเทศเข้าใกล้แนวหน้าของความขัดแย้งที่ญี่ปุ่นมีอิทธิพลจำกัดในการกำหนดทิศทางมากขึ้นกว่าเดิม
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/12/takaichis-hawkishness-driving-east-asia-toward-war/