เอกสารความมั่นคงยุคทรัมป์ หนุนญี่ปุ่น
เอกสารความมั่นคงยุคทรัมป์ หนุนญี่ปุ่นเป็นเสาหลักอินโด–แปซิฟิก บีบอินโดนีเซีย–อาเซียนเร่งวางยุทธศาสตร์ใหม่
18-12-2025
Asia Time รายงานว่า ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ปี 2025 (National Security Strategy: NSS 2025) กลายเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดของกรอบคิดด้านภูมิรัฐศาสตร์วอชิงตันในรอบกว่าทศวรรษ โดยไม่เพียงพลิกสมดุลในความเป็นคู่แข่งระหว่างสหรัฐฯ–จีน หากยังส่งผลสะเทือนลึกไปถึงบทบาทของญี่ปุ่นในฐานะพันธมิตรอินโด–แปซิฟิกแนวหน้า และสภาพแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ที่อินโดนีเซียต้องเผชิญในระยะยาว
สำหรับอินโดนีเซีย เอกสารฉบับนี้ไม่ใช่แถลงการณ์เชิงหลักการที่อยู่ห่างไกล หากเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างเชิงยุทธศาสตร์ที่กำลังจะกำหนดกรอบการเคลื่อนไหวของจาการ์ตา ทั้งด้านบทบาทการนำในภูมิภาคและอนาคตของหลักการนโยบายต่างประเทศ “อิสระและใฝ่สันติ” (independent and active foreign policy) ที่ถือกันมายาวนาน
### ญี่ปุ่น “โตเต็มตัว” และสมการอำนาจใหม่ของอินโด–แปซิฟิก
ผลสะเทือนแรกและเด่นชัดที่สุดต่ออินโดนีเซีย มาจากแนวทางของ NSS 2025 ที่ระบุชัดว่า วอชิงตันตั้งใจ “ยกระดับญี่ปุ่น” ให้เป็นผู้เล่นเชิงยุทธศาสตร์เต็มรูปแบบในภูมิภาค เอกสารนี้เปิดไฟเขียวให้โตเกียวขยับจากบทบาทกองกำลังป้องกันตนเองที่ถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญ ไปสู่การมีบทบาทเชิงรุกมากขึ้นในภารกิจยับยั้ง (deterrence) ระดับภูมิภาค
การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวกำลังกดปุ่มปรับ “เรขาคณิตทางยุทธศาสตร์” ของเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใหม่ จากเดิมที่กระจายตัวหลากหลายทิศทาง สู่สมดุลอำนาจที่ตึงตัวขึ้นและเริ่มเรียงตัวตามแนวแกนเหนือ–ใต้ โดยมีญี่ปุ่น–สหรัฐฯ ทางเหนือ และรัฐทะเลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทางใต้ ด้วยสถานะของอินโดนีเซียในฐานะรัฐทะเลขนาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาค การขยายตัวของรอยเท้าด้านความมั่นคงทางทะเลของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะผ่านการสร้างขีดความสามารถ การฝึกร่วม หรือความร่วมมือด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ย่อมทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าไปอยู่ในกรอบการวางแผนด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ–ญี่ปุ่นมากขึ้นโดยหลีกเลี่ยงได้ยาก
### อินโด–แปซิฟิก กลายเป็น “เวทีหลัก” ของยุทธศาสตร์สหรัฐฯ
ต่างจากยุทธศาสตร์สหรัฐฯ ยุคก่อนหน้าที่ต้องแบ่งน้ำหนักระหว่างตะวันออกกลาง ยุโรป และเอเชีย เอกสาร NSS 2025 ระบุชัดว่า อินโด–แปซิฟิกคือ “เวทีหลัก” ที่ยุทธศาสตร์ชาติอเมริกันจะถูกปกป้องและท้าทายมากที่สุด นั่นหมายถึงอนาคตที่ความตึงเครียดเชิงภูมิรัฐศาสตร์ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน โครงสร้างพื้นฐานไซเบอร์ ห่วงโซ่อุปทาน หรือเสรีภาพในการเดินเรือ จะส่งแรงกดดันต่อจาการ์ตาในระดับต่างๆ กันอย่างต่อเนื่อง
ภูมิรัฐศาสตร์ของอินโดนีเซียในฐานะ “รัฐหมู่เกาะ” ซึ่งตั้งอยู่บนเส้นทางเดินเรือเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของโลก จะยิ่งมีมูลค่าเชิงยุทธศาสตร์สูงขึ้นในสายตามหาอำนาจ ขณะเดียวกัน บทบาทของจาการ์ตาในการกำหนด “บรรทัดฐาน” ของภูมิภาคก็จะมีน้ำหนักมากขึ้น ทว่าก็จะตามมาด้วยแรงคาดหวังและแรงกดดันจากฝ่ายนอกภูมิภาคมากขึ้นตามไปด้วย
### สหรัฐฯ–จีน: จากคู่แข่งเศรษฐกิจ–การทหาร สู่ “คู่ท้าทายเบ็ดเสร็จ”
ผลกระทบสำคัญลำดับต่อมา คือกรอบที่ NSS 2025 ใช้จัดวางจีนในฐานะ “ผู้ท้าทายเชิงโครงสร้างแบบเบ็ดเสร็จ” ต่อระเบียบภูมิภาคที่สหรัฐฯ ต้องการรักษา มากกว่าจะจำกัดอยู่เพียงการแข่งขันด้านเศรษฐกิจหรือการทหารเท่านั้น ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ อินโดนีเซียจะต้องเผชิญสมรภูมิแข่งขันที่คมชัดและซับซ้อนขึ้น
แม้อินโดนีเซียย้ำมาโดยตลอดว่าไม่ใช่คู่กรณีในข้อพิพาททะเลจีนใต้ แต่ความจริงที่ว่าปฏิบัติการทางทะเลของจีนเคลื่อนเข้าใกล้เขตนาทูนามากขึ้น รวมทั้งการที่ “สถานการณ์ไต้หวัน” ถูกดันขึ้นมาเป็นแกนกลางของการวางแผนด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ย่อมทำให้จาการ์ตาไม่สามารถแยกตัวออกจากแรงดึงรั้งของมหาอำนาจทั้งสองได้ง่ายเหมือนเดิม
ภายใต้กรอบ NSS 2025 มีการคาดการณ์ว่าพันธมิตรและหุ้นส่วนของสหรัฐฯ จะต้องประสานการดำเนินการมากขึ้นในการจัดการพฤติกรรมทางทะเลของจีน ส่งผลให้เกิดแรงกดดันให้อินโดนีเซียต้องชัดเจนขึ้นทั้งในด้านจุดยืนทางกฎหมาย การเสริมสร้างขีดความสามารถตรวจการและรับรู้สถานการณ์ทางทะเล (maritime domain awareness) และการแสดงบทบาทในเวทีทางการทูต ซึ่งทั้งหมดอาจทำให้สมดุลที่เปราะบางที่จาการ์ตาดำรงไว้กับปักกิ่งยุ่งยากขึ้น
### เครือข่ายพันธมิตรใหม่ และความท้าทายต่อ “ศูนย์กลางอาเซียน”
อีกมิติหนึ่งที่มีนัยสำคัญต่ออินโดนีเซียคือ แนวทางของ NSS 2025 ต่อสถาปัตยกรรมพันธมิตรและหุ้นส่วนในภูมิภาค สหรัฐฯ วาดภาพอินโด–แปซิฟิกให้เป็นภูมิภาคที่การประสานงานด้านความมั่นคงจะกระจายตัวผ่านเครือข่ายพันธมิตร กลุ่มความร่วมมือขนาดเล็ก (minilaterals) และกลไกเฉพาะประเด็น เช่น Quad หรือกรอบไตรภาคี ซึ่งมีแนวโน้ม “เดินขนาน” หรือ “เดินแซง” กรอบความเห็นพ้องร่วมกันแบบอาเซียนเซ็นทริก
ปรากฏการณ์ดังกล่าวท้าทายโดยตรงต่อความทะเยอทะยานยาวนานของอินโดนีเซียที่จะรักษา “อาเซียนเป็นศูนย์กลาง” ของสถาปัตยกรรมภูมิภาค หากการสร้างแนวร่วมด้านความมั่นคงเร่งตัวนอกกรอบอาเซียน ความสามารถของจาการ์ตาในการกำหนดมาตรฐานด้านความมั่นคงและชี้นำท่าทีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจถูกจำกัดลง ความเสี่ยงจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ “การถูกกันออกข้างเวที” แต่รวมถึง “การแตกตัวของระเบียบภูมิภาค” ที่อาจทำให้อำนาจการนำของอินโดนีเซียถูกบีบตามโครงสร้างใหม่ของการประสานงานนอกภูมิภาค
### โอกาสเชิงยุทธศาสตร์: ญี่ปุ่น–เศรษฐกิจความมั่นคง–ห่วงโซ่อุปทาน
แม้จะเต็มไปด้วยแรงกดดัน NSS 2025 ก็เปิด “หน้าต่างโอกาส” ให้แก่อินโดนีเซีย หากจาการ์ตาสามารถขยับอย่างมียุทธศาสตร์ ญี่ปุ่นในภาพใหม่ซึ่งได้รับการหนุนจากวอชิงตันให้มีบทบาทมากขึ้น อาจกลายเป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือที่สุดของอินโดนีเซียในการยกระดับขีดความสามารถด้านป้องกันประเทศ
ญี่ปุ่นสามารถนำเสนอขีดความสามารถทางทะเล เทคโนโลยีรับมือภัยพิบัติ และแพลตฟอร์มการเฝ้าระวังที่มีคุณภาพสูง โดยไม่แบก “ต้นทุนเชิงภูมิรัฐศาสตร์” แบบเดียวกับระบบจากสหรัฐฯ หรือจีน หากเดินเกมอย่างรอบคอบ อินโดนีเซียสามารถใช้แนวโน้มนี้เร่งการปรับปรุงกองทัพเรือ ดึงดูดการลงทุนยุทธศาสตร์ และสร้างระบบนิเวศด้านความมั่นคงทางทะเลที่ปกป้องอธิปไตย แต่ยังคงรักษา “อิสระเชิงยุทธศาสตร์” ไว้ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ต้องตั้งอยู่บนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนว่า ความร่วมมือกับญี่ปุ่นต้อง “เสริม” ไม่ใช่ “บั่นทอน” หลักการนโยบายต่างประเทศโดยรวมของอินโดนีเซีย
ด้านเศรษฐกิจ NSS 2025 ยกระดับ “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” ขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์โดยตรง ซึ่งมีความหมายต่ออินโดนีเซียที่ต้องการวางตัวเองเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานในสินแร่สำคัญ แบตเตอรี่ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล แนวทางของวอชิงตันที่เน้นการกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน สอดคล้องกับเป้าหมายอุตสาหกรรมของอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในห่วงโซ่ยานยนต์ไฟฟ้าและสินค้าโภคภัณฑ์ยุทธศาสตร์ หากจาการ์ตาจัดแนว “การทูตเศรษฐกิจ” ให้สอดรับทิศทางนี้โดยไม่ทำให้ปักกิ่งรู้สึกถูกกีดกัน อินโดนีเซียย่อมมีโอกาสคว้าเงินลงทุน เทคโนโลยี และการเข้าถึงตลาด ที่จะเสริมอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
ในทางกลับกัน หากประเมินตรรกะเชิงยุทธศาสตร์ของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผิด หรือเลือกวางตัวโดยไม่สอดรับโครงสร้างการแข่งขันใหม่ อินโดนีเซียมีความเสี่ยงที่จะถูก “บีบ” อยู่กลางระหว่างสองกลุ่มอุตสาหกรรมใหญ่ที่ออกข้อเรียกร้องซึ่งขัดกันในเชิงนโยบายภายใน
### “ยุคของความกำกวมเชิงยุทธศาสตร์” กำลังหรี่แคบลง
ท้ายที่สุด NSS 2025 ส่งสัญญาณว่าช่วงเวลาที่รัฐในอินโด–แปซิฟิกสามารถพึ่งพา “ความกำกวมทางยุทธศาสตร์” กำลังหดสั้นลง ขณะที่การแข่งขันสหรัฐฯ–จีนรุนแรงขึ้น และญี่ปุ่นรับบทบาทด้านความมั่นคงอย่างชัดเจนขึ้น จาการ์ตาจะต้องเผชิญการตัดสินใจที่ถี่และมีน้ำหนักมากขึ้น ทั้งเรื่องการให้ใช้พื้นที่ การอนุญาตผ่านทาง การประสานทางการทูต และสัญญาณด้านความมั่นคง
ด้วยที่ตั้งของอินโดนีเซียบนเส้นทางเดินเรือเชิงยุทธศาสตร์หลักของโลก ซึ่งมีแนวโน้มถูกท้าทายมากขึ้นในทุกสถานการณ์วิกฤตระดับภูมิภาค “ความเป็นกลางเชิงยุทธศาสตร์” ในอนาคตจะไม่ได้หมายถึงการยืนห่างจากความขัดแย้งเท่านั้น แต่ต้องมาคู่กับการลงทุนเพิ่มในขีดความสามารถของรัฐชาติ ความเที่ยงตรงของการทูต และความเป็นผู้นำในภูมิภาค
โจทย์ของอินโดนีเซียจึงไม่ใช่เพียงการหลีกเลี่ยงการถูกดึงเข้าไปพัวพัน หากคือการเข้าไป “กำหนดสภาพแวดล้อม” ที่การแข่งขันของมหาอำนาจจะเกิดขึ้น NSS 2025 ของสหรัฐฯ กำลังเร่งการเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของอินโด–แปซิฟิกให้เดินเร็วกว่าความพร้อมของกลไกภูมิภาคที่จะรองรับ
ว่ากันโดยสรุป อนาคตของอินโดนีเซียจะถูกกำหนดโดยความสามารถในการวาง “ยุทธศาสตร์ชาติ” ที่เฉียบคม เร่งการปรับปรุงขีดความสามารถด้านกลาโหมอย่างมีลำดับความสำคัญ และใช้นโยบายต่างประเทศที่แข็งแรงพอรับแรงกดดันจากมหาอำนาจโดยไม่ทิ้งหลักการ “อิสระและใฝ่สันติ” หากจาการ์ตาทำได้ อินโดนีเซียมีโอกาสยืนในฐานะ “แรงถ่วงสมดุล” ที่มีเสถียรภาพในภูมิภาค มิใช่เพียงผู้สังเกตการณ์ต่ออนาคตภูมิรัฐศาสตร์ของตัวเอง
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/12/trumps-nss-puts-the-squeeze-on-indonesias-strategic-autonomy/
(https://www.whitehouse.gov/wp-content/uploads/2025/12/2025-National-Security-Strategy.pdf)