.
อวสาน "ราชาดอลลาร์"? เอกสิทธิ์อันล้นเหลือของดอลลาร์สหรัฐฯ เสี่ยงเสียสถานะเงินสกุลหลัก หากเดินหน้ากีดกันการค้า–ใช้คว่ำบาตรเกินลิมิต
30-12-2025
Bloomberg รายงานว่า สถานะ “อภิสิทธิ์เกินควร” ของดอลลาร์สหรัฐฯ (exorbitant privilege) กำลังถูกตั้งคำถามอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนว่าบัลลังก์ค่าเงินอันดับหนึ่งของโลกจะยืนยงได้อีกนานเพียงใด และหากดอลลาร์ถูกโค่นจากจุดสูงสุดจริง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจะรุนแรงแค่ไหน ทั้งที่ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกต่างจัดระเบียบตัวเองโดยผูกกับดอลลาร์ และคำทำนายเรื่อง “โลกหลังดอลลาร์” ก็ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผู้เขียนชี้ว่า การกลับมาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) พร้อมแนวทางปะทะ “รอบด้าน” ต่อระเบียบระหว่างประเทศแบบเดิม กำลังทำให้สิ่งที่เคยคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” เริ่มกลายเป็นความเป็นไปได้ทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ข้อถกเถียงเรื่องอำนาจนำของดอลลาร์มักวนเวียนอยู่รอบ 3 แกนหลัก คือ ผลประโยชน์ ต้นทุน และ “สิทธิของผู้ครองบัลลังก์เดิม” สถานะของดอลลาร์ทำให้สหรัฐฯ มีอิทธิพลเหนือระบบการเงินโลก ทั้งผ่านการกำกับโครงสร้างการชำระเงินระหว่างประเทศและการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการเงินเป็นเครื่องมือทางนโยบาย นอกจากนี้ อุปสงค์ต่อสินทรัพย์ดอลลาร์ที่สูงอย่างต่อเนื่อง ยังเปิดทางให้ผู้กู้สกุลดอลลาร์ โดยเฉพาะรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมีภาระหนี้จำนวนมาก สามารถกู้ยืมด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าปกติ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง กระแสเงินทุนที่ไหลเข้าหาสินทรัพย์ดอลลาร์กลับทำให้ค่าเงินแข็งเกินพื้นฐาน สร้างแรงกดดันต่อภาคการผลิตและผู้ส่งออกของสหรัฐฯ
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นพ้องว่า เมื่อชั่งน้ำหนักผลดี–ผลเสียแล้ว สหรัฐฯ ยังได้ประโยชน์สุทธิจากฐานะผู้ออกเงินสกุลหลักของโลก แต่ทำเนียบขาวภายใต้ทรัมป์กลับมองต่างออกไป รัฐบาลเชื่อว่าสามารถ “เก็บเกี่ยวประโยชน์แต่ตัดต้นทุนทิ้ง” ที่ปรึกษาทำเนียบขาวอย่างสตีเฟน มิแรน (Stephen Miran) ซึ่งปัจจุบันย้ายไปเป็นผู้กำหนดนโยบายที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อธิบายกรอบคิดนี้ว่า รัฐบาลตั้งใจใช้กำแพงภาษีเพื่อพยุงภาคการผลิตในประเทศ ใช้กลไกการเงินเพื่อกดค่าเงินดอลลาร์ให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ และใช้อำนาจนอกเศรษฐกิจ เช่น การขู่รื้อหรือปรับพันธมิตรด้านความมั่นคง เพื่อรักษาสถานะศูนย์กลางของดอลลาร์ในระบบการเงินโลก
แม้แนวคิดที่ว่ากำแพงภาษีจะทำให้เศรษฐกิจแข็งแรงขึ้นจะถูกนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองด้วยความสงสัย แต่หาก “สมมติให้เป็นจริง” ว่าการแบ่งแยกห่วงโซ่การค้าทั่วโลกด้วยมาตรการภาษีสามารถฟื้นฟูอุตสาหกรรมการผลิตและหนุนการเติบโตสหรัฐฯ ได้จริง คำถามสำคัญคือ นโยบาย “ทำลายความเชื่อมโยงทางการค้า” อย่างตั้งใจเช่นนี้ จะสอดรับกับการปกป้อง “บัลลังก์ดอลลาร์” อย่างที่รัฐบาลทรัมป์อ้างได้จริงหรือไม่
คำตอบขึ้นอยู่กับ “สาเหตุเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้ดอลลาร์ครองสถานะนำตั้งแต่แรก นั่นคือพลังของ “ความเฉื่อย” และผลประโยชน์จากการใช้มาตรฐานร่วมกัน ระบบปัจจุบันฝังรากลึกอย่างยิ่ง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และอะไรจะมากระเทือนสถานะเดิมได้จริงจัง
หนังสือใหม่ 2 เล่มที่ออกวางตลาดปีนี้ย้อนสำรวจประวัติศาสตร์ของ “ดอลลาร์ในฐานะเงินสกุลหลัก” ได้แก่ Our Dollar, Your Problem ของ เคนเนธ โรโกฟฟ์ (Kenneth Rogoff) แห่งมหาวิทยาลัย Harvard และ King Dollar ของพอล บลูสไตน์ (Paul Blustein) นักข่าวที่คลุกคลีกับประเด็นการเงินโลกมานาน ผู้เขียนบทความแนะนำให้อ่านทั้งสองเล่ม โดยชี้ว่ามุมมองต่างแนวแต่เกื้อหนุนกัน เคนเนธ โรโกฟฟ์ ผสานการวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์เข้ากับประสบการณ์ตรงในฐานะอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ขณะที่บลูสไตน์เล่าเหตุการณ์สำคัญด้วยสำนวนอ่านง่ายและอ้างอิงแน่นหนา ทั้งคู่พยายามคาดเดาอนาคตของดอลลาร์ แต่ลงเอยด้วยข้อสรุปต่างน้ำหนักกันเล็กน้อย
ทั้งสองเล่มเขียนเกือบเสร็จตั้งแต่ก่อนทรัมป์ชนะเลือกตั้งสมัยที่สอง และตามมาด้วยภาคผนวกที่สะท้อนความกังวลต่อผลสืบเนื่องของยุค “America First” รอบใหม่ แต่ความเร็วและขนาดของการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายในปีแรกของรัฐบาลชุดนี้ก็ยังเกินกว่าที่ทั้งสองคาดคิด เช่นเดียวกับผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่
ในจุดเปลี่ยนปีที่ผ่านมา บลูสไตน์มีแนวโน้มเชื่อว่า บัลลังก์ดอลลาร์ยังมั่นคง เขาเขียนไว้ว่า “ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือคัดค้านอำนาจนำของดอลลาร์ ความสงสัยในเสถียรภาพของมันควรจะถูกสลายไปได้แล้ว” พร้อมมองว่าสถานะของดอลลาร์ “แทบจะล้มไม่ได้ และจะยังเป็นเช่นนั้น ตราบใดที่รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ก่อความผิดพลาดระดับหายนะ” รายละเอียดว่าด้วยความพยายามสร้าง “ราชาเงินสกุลใหม่” ที่ล้มเหลวในอดีตล้วนสนับสนุนมุมมองนี้ ส่วนโรโกระฟแม้ไม่ถึงขั้นมองโลกในแง่ร้ายสุดขั้ว แต่ก็ระบุชัดว่าไม่อาจนิ่งนอนใจ แม้ก่อนรัฐบาลใหม่จะทดลอง “ทฤษฎีแหวกขนบ” ว่าด้วยอำนาจนำของดอลลาร์เสียอีก
อย่างไรก็ดี จุดร่วมสำคัญคือ ทั้งสองยืนยันว่ามาตรฐานเงินสกุลโลก ไม่ว่าจะเป็นดอลลาร์ หรือสมัยก่อนคือสเตอร์ลิง (sterling) เมื่อฝังตัวแล้วมักดำรงอยู่ยาวนาน ตัวอย่างเช่น แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะแซงสหราชอาณาจักรตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แต่ต้องรอหลังปี 1945 ดอลลาร์ จึงขึ้นมาทดแทนสเตอร์ลิงอย่างเด็ดขาดในฐานะเงินทุนสำรองหลักของโลก ในขณะเดียวกัน หากถูกกดดันรุนแรงพอ ระบบใดระบบหนึ่งก็สามารถแตกสลายได้ เพราะไม่มีระเบียบใดถาวรนิรันดร์
ในระยะหนึ่ง ฐานะผู้นำของดอลลาร์อาจดำรงอยู่ได้ แม้สหรัฐฯ จะถดถอยลงทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านอำนาจทหาร นั่นเพราะ “ความสะดวก” ของการใช้สกุลเงินเดียวกันในระดับโลกช่วยลดต้นทุนธุรกรรมและสร้างประโยชน์เครือข่าย (network benefits) ประเทศที่ไม่ได้รับอภิสิทธิ์กู้ยืมราคาถูกแบบสหรัฐฯ ก็ยังได้อานิสงส์จากประโยชน์เครือข่ายนี้ หากสหรัฐฯ บริหารเศรษฐกิจอย่างรับผิดชอบ ปล่อยให้ตลาดทุนทำงาน หลีกเลี่ยงเงินเฟ้อสูงและหลุมพรางความไม่มั่นคงทางการเงิน ทุกฝ่ายก็ได้ประโยชน์ร่วมกัน
กลไกนี้ไม่เพียงช่วยตรึงมาตรฐานเดิม แต่ยัง “เสริมแรงตัวเอง” อย่างต่อเนื่อง เมื่อผู้ค้าใช้ดอลลาร์เป็นหน่วยเงินในการซื้อขายสินค้า ก็มีแนวโน้มจะถือครองสินทรัพย์ดอลลาร์มากขึ้น อุปสงค์ต่อสินทรัพย์ดอลลาร์จึงเพิ่มขึ้น ดันราคาและกดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมในสกุลดอลลาร์ให้ต่ำลง หากดอกเบี้ยดอลลาร์ถูกกว่า ผู้ประกอบการก็ยิ่งอยากออกใบแจ้งหนี้ (invoice) เป็นดอลลาร์ เพื่อให้แน่ใจว่ารายรับสกุลเดียวกับหนี้ที่ต้องชำระ ผลลัพธ์คือ “ยิ่งใช้ดอลลาร์ออกใบแจ้งหนี้มาก ยิ่งกู้ดอลลาร์ถูกลง และยิ่งกู้ถูกลง ก็ยิ่งมีแรงจูงใจใช้ดอลลาร์ออกใบแจ้งหนี้มากขึ้น” วงจรนี้ทำให้มาตรฐานค่าเงินฝังรากได้แน่น
แต่หากมีแรงกระแทกมากพอ กลไกเดียวกันก็อาจหมุนย้อนกลับ การแตกตัวของห่วงโซ่การค้าโลก การตั้งกำแพงภาษี หรือการจัดระเบียบการค้าตามกลุ่มการเมืองสามารถลดสัดส่วนการออกใบแจ้งหนี้เป็นดอลลาร์ลงได้ ซึ่งจะกัดกร่อนข้อได้เปรียบด้านต้นทุนการกู้ยืมในสกุลดอลลาร์ และยิ่งลดการใช้ดอลลาร์ในระบบการค้าต่อไปอีก
ผู้เขียนยังชี้ว่า ฐานะผู้นำของดอลลาร์ได้รับการค้ำยันจาก “การไม่มีคู่แข่งที่พร้อมทดแทนโดยตรง” ยูโรยังถูกฉุดรั้งด้วยการเติบโตต่ำ ปัญหาการเมืองยุโรป และการเดินหน้าสร้างสหภาพตลาดทุน–ธนาคารที่ไม่สมบูรณ์ ขณะที่เงินหยวน (renminbi) แม้ผ่านการปฏิรูปมาบ้างก็ยังถูกจำกัดด้วยการควบคุมของรัฐและสถาบันที่ยังไม่เทียบเท่ามาตรฐานตะวันตก อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความไม่พอใจที่สะสมต่อบทบาทนำทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โอกาสที่โลกจะเสาะหาทางเลือกใหม่ด้านสกุลเงินก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
รัฐบาลทรัมป์ตระหนักถึงความเสี่ยงนี้ และพยายามสกัดความเคลื่อนไหวคู่แข่ง เช่น การข่มขู่ตอบโต้ประเทศในกลุ่ม BRICS หากเดินหน้าจริงจังกับแผน “ลดการพึ่งพาดอลลาร์” แม้ยังไร้รูปเป็นร่าง แต่มาตรการกดดันดังกล่าวอาจไม่เพียงพอ และอาจย้อนศรในระยะยาว เพราะยิ่งฉายภาพให้เห็น “ต้นทุนการผูกอนาคตไว้กับดอลลาร์” มากเท่าใด ก็ยิ่งสร้างแรงจูงใจให้ประเทศต่าง ๆ มองหาทางเลือกมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาควบคู่กับกำแพงภาษีที่เพิ่มขึ้นอย่างดุเดือด การใช้มาตรการคว่ำบาตรการเงินผ่านระบบดอลลาร์อย่างเข้มข้น และความไม่แน่นอนสูงด้านนโยบายภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ซึ่งล้วนบั่นทอนความเชื่อมั่นใน “ระเบียบเดิม”
ภัยคุกคามอีกประการต่อสถานะดอลลาร์คือการรับรู้ว่า “สินทรัพย์ดอลลาร์ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป” โรโกระฟซึ่งวิจารณ์วินัยการคลังของสหรัฐฯ อย่างตรงไปตรงมาให้ความสำคัญกับประเด็นนี้เป็นพิเศษ เขาเตือนว่าสหรัฐฯ กำลัง “เสพติดการก่อหนี้” ภายใต้สมมติฐานว่าอัตราดอกเบี้ยต่ำผิดปกติหลังวิกฤตการเงินโลก 2008-2009 จะดำรงอยู่ถาวร การเมืองอเมริกันแทบไม่พูดถึงความจำเป็นในการแก้ไขขาดดุลงบประมาณโครงสร้างที่สูงเป็นประวัติการณ์ ทั้งที่เศรษฐกิจอยู่ใกล้ระดับจ้างงานเต็มศักยภาพ การก่อหนี้เกินตัวเพิ่มความเสี่ยงที่รัฐบาลอาจต้องใช้เงินเฟ้อสูงเป็น “การผิดนัดแบบแฝง” และ Fed ที่ถูกการเมืองครอบงำอาจถูกกดดันให้เป็นผู้ดำเนินยุทธศาสตร์เช่นนั้น
ภาพเหล่านี้ไม่ช่วยเสริมความเชื่อมั่นใน “อำนาจนำของดอลลาร์” และหากบลูสไตน์เคยเขียนเตือนไว้ว่า “มีแต่ความผิดพลาดระดับหายนะเท่านั้นที่จะเขย่า King Dollar ได้จริง” เหตุการณ์ในปัจจุบันก็ดูเข้าใกล้เกณฑ์ดังกล่าวขึ้นทุกที จุดจบของบัลลังก์ดอลลาร์ไม่จำเป็นต้องมาในรูปวิกฤตฉับพลัน หากแต่เป็นกระบวนการแตกตัวทีละน้อยของระบบการเงินโลก โดยไม่มีสกุลเงินตัวเดียวขึ้นมาแทนที่อย่างชัดเจน โลกอาจค่อย ๆ เคลื่อนสู่ภาวะ “ไร้มาตรฐานกลาง” หรือมีมาตรฐานคู่แข่งหลายชุดควบคู่กัน ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียประโยชน์ร่วมกันของระบบ และจะกระทบสหรัฐฯ หนักที่สุด
ในเวลานี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่ตื่นตระหนก ความคิดที่แพร่หลายคือ “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ทรัมป์ถูกมองว่าเป็น “ตัวแปรนอกกรอบ” และแม้ปีแรกของสมัยที่สองจะเปลี่ยนทิศทางนโยบายได้มากอย่างเหลือเชื่อ แต่หลายฝ่ายยังเชื่อว่าการเมืองอเมริกันจะปรับตัวกลับสู่ภาวะปกติในที่สุด ผู้เขียนบทความทิ้งท้ายว่า หากสมมติฐานนั้นผิด และความเปลี่ยนแปลงในยุคนี้ไม่ได้จบลงง่าย ๆ “การสิ้นสุดยุค King Dollar อาจยังไม่ใช่ปัญหาที่เลวร้ายที่สุดที่โลกกำลังเผชิญอยู่ก็เป็นได้”
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.bloomberg.com/opinion/articles/2025-12-29/the-dollar-s-exorbitant-privilege-is-on-borrowed-time