.
จีน 2026 จะรอดหรือร่วง? เมื่อต้องรับมือ 3 โจทย์ใหญ่ เกม G2 'ทรัมป์-สงครามชิป-วิกฤตอสังหาฯ' พร้อมกันในคราวเดียว
30-12-2025
Bloomberg รายงานว่า ขณะที่จีนกำลังส่งท้ายปี 2025 ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้น สงครามภาษีกับสหรัฐฯ และมาตรการคุมเข้มด้านเทคโนโลยี นักวิเคราะห์เริ่มจับตาโจทย์สำคัญ 3 ข้อที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศในปี 2026 ตั้งแต่รูปแบบใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ไปจนถึงยุทธศาสตร์ชิปปัญญาประดิษฐ์ และอนาคตวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อยาวนาน
ผู้สื่อข่าวประจำกรุงปักกิ่งระบุว่า ความสามารถในการ “ทำนายอนาคต” นั้นมีข้อจำกัด แต่สิ่งที่ประสบการณ์สอนให้ทำได้ดีขึ้นคือการตั้งคำถามที่ถูกจุด โดยเมื่อปิดฉากปีที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์เข้มข้น ทั้งความผันผวนของตลาดหุ้น ศึกภาษี และข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี จีนจึงถูกชวนให้มองไปข้างหน้าผ่านคำถามใหญ่ 3 ข้อในปี 2026
ก่อนเข้าสู่ประเด็นหลัก สำนักข่าวยังชี้ให้ดูสัญญาณจากหลากหลายมุม ตั้งแต่การรุกขยายต่างประเทศของผู้ผลิตแบตเตอรี่ยักษ์ใหญ่ CATL การจัดระเบียบอาณาจักรธุรกิจใหม่ของมหาเศรษฐีหลี่ กา-ซิง (Li Ka-shing) ไปจนถึงรายงานเชิงลึกด้านเทคโนโลยี ว่าด้วยบริษัทที่ถูกเพ่งเล็งเรื่องลักลอบชิปจากจีน ตลอดจนพอดแคสต์ว่าด้วยธุรกิจเปปไทด์ของจีน และสารคดีเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะของฝรั่งเศส รวมถึงการประเมินมุมมองเศรษฐกิจโลกผ่านรายการ Trumponomics และแบบทดสอบข่าวปลายปี
ก้าวสู่โลก G-2 จริงหรือไม่
โจทย์แรกคือคำถามว่า โลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุค “G-2” ระหว่างสหรัฐฯ และจีนหรือไม่ ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สกอตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่ทรัมป์และสีจะพบกันแบบตัวต่อตัวมากถึง 4 ครั้งในปี 2026
การพบกันครั้งแรกคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน เมื่อทรัมป์เดินทางเยือนจีนตามที่เจ้าตัวประกาศไว้ล่วงหน้า ขณะที่สีได้รับเชิญให้เดินทางเยือนสหรัฐฯ เพื่อตอบแทนในโอกาสถัดไป ต่อจากนั้นจีนจะเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC และสหรัฐฯ จะเป็นเจ้าภาพการประชุม G-20 ซึ่งล้วนเป็นเวทีที่ทั้งสองผู้นำมีโอกาสพบกันอีก
หากการคำนวณของเบสเซนต์เป็นจริง ปี 2026 จะเป็นปีที่มี “ปฏิสัมพันธ์ส่วนตัว” ระหว่างผู้นำสองประเทศมหาอำนาจในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การพบกันถี่ขึ้นอาจนำไปสู่สองทิศทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ด้านหนึ่ง เราได้เห็นแล้วในปี 2025 ว่าการประชุมระดับสูง — ไม่ว่าจะเป็นการพบกันระหว่างเบสเซนต์กับเหอ ลี่เฟิง (He Lifeng) รองนายกรัฐมนตรีจีน หรือการเจรจาทรัมป์–สี — มักมีการเดินหมากล่วงหน้าจากทั้งสองฝ่ายเพื่อสร้างแต้มต่อในการเจรจา ซึ่งรวมถึงการโบก “เครื่องมือเชิงนโยบาย” ต่าง ๆ ที่ทำให้ตลาดการเงินและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกปั่นป่วน หากวอชิงตันและปักกิ่งยังคงพฤติกรรมเช่นนี้ในปี 2026 โลกอาจต้องเผชิญความผันผวนหนักรอบใหม่
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในช่วงปลายปีเริ่มดูนิ่งขึ้นน่าจับตา นับตั้งแต่การพบกันแบบตัวต่อตัวเพียงครั้งเดียวระหว่างทรัมป์และสีในเดือนตุลาคม ทั้งสองฝ่ายแสดงท่าทีพยายามประคองเสถียรภาพมากขึ้น จีนกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ และยังคงส่งออกแม่เหล็ก rare-earth แม้ยังมีความกังวลเรื่องอุปทานแร่หายากระดับต้นน้ำ ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ระงับการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมต่อเรือสินค้าจีน และชะลอการออกมาตรการทางการค้ารอบใหม่ที่กระทบอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน
ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนว่า เพียงการประชุมตัวต่อตัว 90 นาทีระหว่างผู้นำทั้งสองก็สามารถสร้างผลกระทบที่ชัดเจนต่อบรรยากาศความสัมพันธ์ หากมีการพบกันถึง 4 ครั้งในปีเดียว ก็ไม่ยากจะจินตนาการว่าความสัมพันธ์อาจหันไปในทางบวกมากขึ้นเพียงใด
ความนิ่ง หรืออย่างน้อยการร่วมมือในบางระดับ จะเป็นข่าวดีสำหรับภาคธุรกิจและตลาดการเงินทั้งสองฝั่งแปซิฟิก ทว่าในอีกด้านหนึ่งอาจสร้างความอึดอัดต่อพันธมิตรด้านความมั่นคงดั้งเดิมของสหรัฐฯ ในเอเชียและภูมิภาคอื่น
กรณีของญี่ปุ่น (Japan) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน รายงานของ Financial Times ระบุว่า มีความไม่พอใจในโตเกียวต่อการที่วอชิงตันถูกมองว่า “ไม่ยืนข้าง” ญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ ในช่วงความตึงเครียดกับจีนที่เกิดจากถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีซาเน ทาคะอิจิ (Sanae Takaichi) เรื่องไต้หวัน (Taiwan) คำกล่าวล่าสุดของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) ที่ระบุว่ารัฐบาลทรัมป์เชื่อว่าสามารถ “ทั้งสนับสนุนญี่ปุ่น และทำงานกับจีนไปพร้อมกันได้” ก็อาจไม่ได้ช่วยคลายกังวลดังกล่าวมากนัก
สหรัฐฯ ที่พยายามถ่วงดุลความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับพันธมิตรในอีกฟากหนึ่ง อาจลดแรงปะทะโดยตรงกับปักกิ่ง แต่ก็เสี่ยงทำให้พันธมิตรบางประเทศรู้สึก “ถูกกันออก” จากโลกแบบ G-2 มากขึ้น
จีนกำลังซื้อชิป Nvidia รุ่นไหน
คำถามใหญ่ข้อที่สองเกี่ยวข้องกับการแข่งขันด้านชิปและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ต่อจีนในสนามนี้ได้เปลี่ยนทิศอย่างมีนัยสำคัญภายใต้รัฐบาลทรัมป์ จากเดิมที่เน้น “ห้ามส่งมอบเทคโนโลยี” มาสู่แนวคิดว่า “ทำให้จีนติดเทคโนโลยีอเมริกันให้มากที่สุด”
ตรรกะคือ หากเปิดให้บริษัทสหรัฐฯ อย่าง Nvidia, AMD และผู้ผลิตชิปรายอื่นขายสินค้าให้จีน จะทำให้ตลาดสำหรับชิปจีนหดตัวลง ตัดท่อน้ำเลี้ยงของผู้เล่นอย่าง Huawei, Cambricon หรือ Moore Threads ในการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์รุ่นก้าวหน้า
อย่างไรก็ตาม ปักกิ่งเองมองเห็นเกมนี้เช่นกัน และแสดงให้เห็นว่าพร้อมจะแทรกแซง โดยทั้งกดดันบริษัทจีนให้หลีกเลี่ยงการใช้ชิปสหรัฐฯ และออกแรงจูงใจให้หันมาใช้ชิปที่ผลิตในประเทศ นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชิปรุ่น H20 ของ Nvidia ซึ่งออกแบบให้เป็นรุ่น “ลดสเปก” เพื่อขายในตลาดจีนโดยเฉพาะ ไม่สามารถหาลูกค้าในจีนได้ แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะอนุมัติให้ขายตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา
ที่น่าจับตาคือพฤติกรรมของตลาดจีนต่อชิปรุ่น H200 ของ Nvidia ซึ่งมีเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่า และพึ่งได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลทรัมป์ให้ส่งออกมายังจีนในเดือนล่าสุด รายงานของ Reuters ระบุว่า การส่งมอบ H200 ให้ลูกค้าในจีนมีแนวโน้มเริ่มขึ้นในไม่ช้า สะท้อนว่ามีดีมานด์ชัดเจน
ข้อเท็จจริงที่ว่า “มีตลาดสำหรับ H200 แต่ไม่ใช่ H20” ชี้ให้เห็นดุลยภาพที่ปักกิ่งต้องบริหารอยู่ในเวลานี้ การบังคับให้นักพัฒนาและผู้ประกอบการใช้ชิปผลิตในประเทศย่อมช่วยหนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน แต่ในอีกด้านก็ทำร้ายนักพัฒนาโมเดล AI ระดับแนวหน้า เช่น DeepSeek ที่ได้ประโยชน์จากการเข้าถึงชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
กล่าวอีกแบบคือ ยิ่งชิปที่วอชิงตันยอมขายมีความก้าวหน้ามากเท่าใด ปักกิ่งก็ยิ่ง “ปฏิเสธได้ยากขึ้นเท่านั้น” หากรัฐบาลสหรัฐฯ รับเอาแนวคิด “ทำให้จีนติดเทคโนโลยีอเมริกัน” ไว้อย่างจริงจัง ก็พออธิบายได้ว่าทำไม ทรัมป์ถึงเคยเปรยก่อนการพบปะกับสีในเดือนตุลาคมว่าเขาอาจอนุญาตให้ขายชิปรุ่น Blackwell ที่ทรงพลังยิ่งกว่าเข้าไปในจีน แม้ภายหลังจะล้มเลิกแนวคิดดังกล่าว แต่ภาพรวมก็ชัดว่า เกมแข่งขันครั้งนี้ขึ้นอยู่กับสองคำถามหลัก คือ “สหรัฐฯ กล้าขายอะไร” และ “จีนกล้าปฏิเสธอะไร”
อสังหาริมทรัพย์จีนจะฟื้นเมื่อไร
คำถามข้อที่สามคือ จีนจะหาทางออกจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อเข้าสู่ปีที่ 5 ได้อย่างไร เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2026 ปัญหาตลาดที่อยู่อาศัยที่ซบเซายาวนานทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคอ่อนแรง ยอดขายบ้านที่ตกต่ำผลักผู้พัฒนาอสังหาฯ จำนวนมากเข้าสู่ภาวะล้มละลาย และความต้องการซื้อที่ดินที่หายไปทำให้รัฐบาลท้องถิ่นขาดรายได้จนฐานะการคลังสั่นคลอน
แม้ผู้กำหนดนโยบายในปักกิ่งจะเดินหน้ามาตรการหลายระลอก รวมถึงข้อเสนอให้รัฐบาลท้องถิ่นกู้เงินเพื่อนำไปซื้ออพาร์ตเมนต์สร้างเสร็จแล้วแต่ขายไม่ออก เพื่อนำมาใช้เป็นที่อยู่อาศัยสวัสดิการ แต่จนถึงขณะนี้มาตรการเหล่านั้นยังไม่เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์
อีกทั้งแนวทางของรัฐบาลจีนยังสะท้อนความระมัดระวังอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น มาตรการใหม่ของทางการปักกิ่งที่เพิ่งออกมาเพื่อพยุงตลาดที่อยู่อาศัย ไม่ได้ยกเลิกข้อจำกัดเรื่องจำนวนบ้านที่ครัวเรือนหนึ่งสามารถถือครองได้โดยสิ้นเชิง ทั้งที่เงื่อนไขนี้เป็นมรดกจากยุคที่รัฐบาลกังวลเรื่อง “ราคาอสังหาฯ พุ่งแรงเกินไป” แล้วก็ตาม เมืองหลวงเลือกใช้แนวทางผ่อนคลายแบบจำกัดวง โดยอนุญาตให้ครอบครัวที่มีบุตรมากกว่าหนึ่งคนซื้อบ้านเพิ่มได้อีกหนึ่งหลัง
ฝ่ายที่สนับสนุนแนวทาง “ค่อยเป็นค่อยไป” ชี้ว่าการไม่อัดเม็ดเงินมหาศาลเพื่อตลาดอสังหาฯ มีข้อดีสำคัญ เพราะช่วยลดความเสี่ยงที่ฟองสบู่อสังหาฯ จะพองตัวขึ้นมาอีกครั้ง และเปิดพื้นที่งบประมาณให้ภาครัฐเททรัพยากรไปยังอุตสาหกรรมใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นทิศทางที่สี จิ้นผิงวางให้เป็นอนาคตของเศรษฐกิจจีน
แต่ราคาที่ต้องจ่ายคือ “เวลา” ซึ่งกำลังกลายเป็นสินทรัพย์หายากสำหรับบรรดาผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ ยอดขายบ้านที่ทรุดลงต่อเนื่องทำให้ผู้ประกอบการมีปัญหาในการชำระหนี้ กลุ่มอย่าง Evergrande, Country Garden และ Sunac ต่างผิดนัดชำระหนี้แล้ว ขณะที่ Vanke กลายเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่รายสุดท้ายที่ยังไม่ผิดนัด แต่ก็ถูกตลาดจับตามองอย่างใกล้ชิด
วิกฤตของ Vanke น่ากังวลเป็นพิเศษ เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดคือองค์กรภายใต้การถือครองของเทศบาลนครเซินเจิ้น (Shenzhen) เดิมตลาดมองโครงสร้างผู้ถือหุ้นรูปแบบนี้ว่าเป็น “หลักประกัน” ว่าบริษัทมีรัฐหนุนหลังและปลอดภัยกว่าเอกชนทั่วไป หาก Vanke ผิดนัดชำระหนี้จริง ก็จะเกิดคำถามใหม่ว่า “สายสัมพันธ์กับรัฐ” ควรถูกตีมูลค่าอย่างไรในสายตานักลงทุน
สัญญาณว่าปักกิ่งตระหนักถึงความอ่อนไหวของประเด็นนี้ ปรากฏชัดจากกรณีที่ผู้จัดทำดัชนีเอกชน 2 รายในตลาดอสังหาฯ ของจีนชะลอการเผยแพร่ข้อมูลยอดขายบ้านเดือนพฤศจิกายนออกสู่สาธารณะ หลังได้รับคำขอจากภาครัฐ ทั้งที่ข้อมูลฉบับล่าสุดก่อนหน้านั้นชี้ว่ายอดขายของ 100 ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ของจีนลดลงถึง 41.9% ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 18 เดือน
สี จิ้นผิงและคณะผู้นำระดับสูงของจีนย่อมต้องการเห็นตัวเลขบนกระดานอสังหาฯ ปี 2026 ดีกว่าปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ แต่คำถามสำคัญคือ พวกเขาพร้อมจะใช้มาตรการ “แรงพอ” ที่จำเป็นต่อการพลิกสถานการณ์หรือไม่ และจะกล้ารับความเสี่ยงเชิงเสถียรภาพการเงินเพียงใดเพื่อแลกกับการรีเซ็ตตลาดที่อยู่อาศัยให้กลับมาทำหน้าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกครั้ง
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.bloomberg.com/news/newsletters/2025-12-26/what-trump-chips-property-can-divine-about-how-china-fares-in-2026