.
จีนยังรั้งอันดับสองเศรษฐกิจโลก แต่แซงสหรัฐฯทั้งการผลิต เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานและงานวิจัย
29-12-2025
Asia Times รายงานโดยตั้งคำถามว่า จีนจะก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งได้หรือไม่ หลังจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ฉุดรั้งการเติบโตและดอลลาร์ที่แข็งค่าหนุน GDP ของสหรัฐฯ?
สาธารณรัฐประชาชนจีน (People’s Republic of China) ยังคงครองสถานะเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก แม้เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวแซงหน้าประเทศอื่นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศในปี 1949 แต่ช่องว่างเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา (US) ยังไม่ปิด โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีมานี้ที่ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์กดทับการเติบโตของจีน ขณะที่ดอลลาร์แข็งค่าดันมูลค่า GDP ตามราคาปัจจุบัน (Nominal GDP) ของสหรัฐฯ ให้เพิ่มขึ้
ข้อมูลระบุว่า GDP ตามราคาปัจจุบันของจีนเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ลดลงจากราว 78% ในปี 2021 เหลือเพียงประมาณ 65% ในปี 2024 ทำให้นักวิเคราะห์และเศรษฐศาสตร์จำนวนมากเริ่มตั้งคำถามว่า จีนจะสามารถไล่ทันและแซงเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งของโลกได้จริงหรือไม่ หรือจำต้องยืนระยะอยู่ในฐานะ “เศรษฐกิจอันดับสองของโลก” ต่อไป
### พลังงานและฐานการผลิต: โรงงานของโลก vs เศรษฐกิจบริการ
จีนในฐานะเศรษฐกิจอันดับสองของโลก เป็นผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ ใช้ไฟฟ้ามากกว่าสหรัฐฯ กว่า 2 เท่า และใช้พลังงานปฐมภูมิมากกว่าราว 73% สะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจที่ยังพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้น ขณะที่สหรัฐฯ ในฐานะเศรษฐกิจอันดับหนึ่งพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจบริการขั้นสูง จึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานจำนวนมหาศาลเทียบเท่าเศรษฐกิจที่ยังเน้นการผลิต
จีนยังถูกมองว่าเป็น “โรงงานของโลก” โดยมีส่วนแบ่งการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเชิงอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity: PPP) สูงกว่าสหรัฐฯ มากกว่า 4 เท่าในปี 2023 และกำลังเร่งเดินหน้าสู่การผลิตขั้นสูง ด้วยการติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมมากกว่าสหรัฐฯ ถึง 8.6 เท่าในปี 202
ในภาคอุตสาหกรรมหนัก จีนผลิตเหล็กมากกว่าสหรัฐฯ ประมาณ 12.7 เท่า และส่งมอบเรือพาณิชย์ในเชิงระวางบรรทุกรวม (Gross Tonnage) มากกว่า 1,000 เท่าในปี 2024 ซึ่งเป็นกิจกรรมในอุตสาหกรรมที่มักถูกมองว่า “สกปรก ให้ผลตอบแทนต่ำ และใช้เทคโนโลยีไม่สูง” จนเศรษฐกิจพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ เลือกจะละทิ้งไปนานแล้ว
### สินค้า vs บริการ: ดุลอำนาจการค้าโลก
ด้วยฐานการผลิตขนาดใหญ่ จีนจึงเป็นผู้ส่งออกสินค้าอันดับหนึ่งของโลก โดยส่งออกสินค้าในเชิงมูลค่ามากกว่าสหรัฐฯ ราว 73% และในกลุ่มสินค้าไฮเทค (High-tech goods) ช่องว่างยิ่งกว้าง โดยจีนส่งออกมากกว่าสหรัฐฯ ถึงประมาณ 3.7 เท่า นอกจากนี้ ท่าเรือของจีนยังรองรับปริมาณตู้คอนเทนเนอร์มากกว่าสหรัฐฯ ราว 5.4 เท่า สะท้อนบทบาทศูนย์กลางการค้าโลกด้านสินค้าอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี การค้าทั่วโลกไม่ได้มีเพียงสินค้าจับต้องได้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ พึ่งพาภาคบริการมูลค่าสูง ตั้งแต่ภาพยนตร์ฮอลลีวูด (Hollywood) การศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำ บริการการเงินในวอลล์สตรีท (Wall Street) ไปจนถึงบริการเฉพาะทางรูปแบบใหม่ ซึ่งถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “เศรษฐกิจบริการ” ที่ช่วยชดเชยช่องว่างในด้านการค้าสินค้าเมื่อเทียบกับจีน
### การบริโภค อีคอมเมิร์ซ และสินค้าฟุ่มเฟือย
เมื่อวัดในมิติอำนาจซื้อ จีนมีสัดส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นราว 34% ของทั้งโลก หรือเกือบ 3 เท่าของสหรัฐฯ สะท้อนว่าจีนเป็นผู้บริโภคและผู้ผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมในระดับสูงมาก ขณะที่สหรัฐฯ โดดเด่นในด้านการบริโภคบริการที่มีราคาสูง เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเลี้ยงดูเด็ก ค่าเล่าเรียน รวมถึงบัตรคอนเสิร์ตของศิลปินอย่าง เทเลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ซึ่งดันมูลค่าเศรษฐกิจในเชิงตัวเงินให้สูงขึ้น
ในระดับค้าปลีก จีนครองส่วนแบ่งยอดขายอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) ประมาณครึ่งหนึ่งของโลก หรือราว 2.5 เท่าของสหรัฐฯ และยอดขายออนไลน์ดังกล่าวสร้างปริมาณการส่งพัสดุมากกว่าสหรัฐฯ ราว 5 เท่า บ่งชี้ว่าผู้บริโภคจีนไม่เพียงซื้อของออนไลน์มากกว่า แต่ยังได้รับ “ของจริง” ในเชิงปริมาณมากกว่าต่อหน่วยเงินที่ใช้จ่าย แม้เช่นนั้น ตัวเลขจำนวนพัสดุไม่ได้ถูกนำมาคิดเป็น GDP โดยตรง เนื่องจากขนาดเศรษฐกิจวัดจาก “มูลค่า” ไม่ใช่จำนวน “ชิ้นสินค้า”
จีนยังครองสัดส่วนราว 46% ของยอดขายสินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury goods) ทั่วโลก หรือมากกว่าสหรัฐฯ ประมาณ 2 เท่า ขณะที่ทั้งสองประเทศพึ่งพาการนำเข้าสินค้าหรูจากยุโรปเป็นหลัก และชนชั้นกลาง–ชนชั้นมั่งคั่งในจีนยังนิยมเดินทางไปจับจ่ายในยุโรปโดยตรง
ในอุตสาหกรรมรถยนต์ จีนมีสัดส่วนยอดขายรถยนต์เกือบหนึ่งในสามของตลาดโลก หรือมากกว่าสหรัฐฯ ราว 73% แต่ตัวเลขดังกล่าวก็ยังไม่สะท้อนมูลค่าทางเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยต่อคันในสหรัฐฯ สูงกว่าจีนประมาณ 2 เท่า ตัวอย่างเช่น รถ Honda Pilot SUV ขนาดกลาง กำลังเครื่องยนต์ 286 แรงม้า ในตลาดสหรัฐฯ มีราคาเฉลี่ยราว 50,000 ดอลลาร์ ขณะที่รถ Onvo L9 SUV ขนาดใหญ่ กำลัง 590 แรงม้า ในจีนมีราคาเฉลี่ยราว 25,000 ดอลลาร์ แม้มีสมรรถนะสูงกว่า แต่สร้างมูลค่า GDP ในเชิงราคาน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง
### โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม และเมืองสมัยใหม่
จีนอยู่ในช่วงเร่งเติมเต็มโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของตนเอง ระบบทางหลวงของจีนปัจจุบันมีความยาวมากกว่าของสหรัฐฯ กว่า 2 เท่า และด้วยความหนาแน่นของประชากรเขตเมืองที่สูง จีนจึงไม่น่าจะบรรลุอัตราการถือครองรถยนต์ต่อหัวเท่าสหรัฐฯ แต่จำนวนรถบนท้องถนนโดยรวมมีแนวโน้มที่จะขึ้นไปแตะมากกว่าสหรัฐฯ กว่า 2 เท่าในระยะยาว
ข้อมูลระบุว่า จำนวนยานพาหนะจดทะเบียนในจีนแซงหน้าสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2020 และเพิ่มขึ้นราว 20 ล้านคันต่อปี ปัจจุบันมีรถยนต์และยานพาหนะอื่นบนท้องถนนในจีนมากกว่าสหรัฐฯ กว่า 33% และหากรวมรถจักรยานยนต์ สัดส่วนจะเพิ่มเป็นราว 58% อย่างไรก็ตาม รถส่วนใหญ่ในจีนถือเป็นรถราคาถูก มีมูลค่าเฉลี่ยเพียงครึ่งหนึ่งของรถกระบะและ SUV ที่ได้รับความนิยมบนถนนในสหรัฐฯ
ด้านระบบราง จีนมีเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงประมาณ 48,000 กิโลเมตร คิดเป็นราว 65% ของทางรถไฟความเร็วสูงทั่วโลก ขณะที่ในสหรัฐฯ มีทางรถไฟความเร็วสูงเพียงราว 136 กิโลเมตร นอกจากนี้ จีนยังมีระบบรถไฟใต้ดินในเมืองใหญ่รวม 44 ระบบ รวมระยะทางกว่า 10,000 กิโลเมตร หรือมากกว่าระบบรถไฟใต้ดิน 16 ระบบในสหรัฐฯ กว่า 7 เท่า
ในทางกลับกัน ชาวอเมริกันจำนวนมากยังนิยมใช้รถยนต์ส่วนตัวทั้งในระยะสั้นและระยะไกล การยอมรับระบบขนส่งมวลชนมีจำกัด ทำให้หลายเมืองมีระบบรถไฟใต้ดินและรถไฟที่เสื่อมโทรมและใช้งานต่ำกว่าศักยภาพ โดยถูกมองในเชิงว่า “มีฐานะดีพอที่จะไม่ต้องพึ่งระบบขนส่งสาธารณะ”
อย่างไรก็ดี โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นทางด่วน รถไฟใต้ดิน หรือรถไฟความเร็วสูง มีต้นทุนการก่อสร้างต่อกิโลเมตรสูงกว่าจีนหลายเท่า และต้นทุนที่สูงเหล่านี้ถูกนับรวมเข้าไปในมูลค่า GDP ช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ รักษาอันดับหนึ่งของโลกในเชิงตัวเงิน
ในมิติเมืองสมัยใหม่ จีนมีตึกระฟ้า (Skyscrapers) สูงเกิน 150 เมตรมากกว่าสหรัฐฯ ประมาณ 4 เท่า และมีอาคารสูงเกิน 200 เมตรมากกว่าราว 5 เท่า ขณะเดียวกัน จีนติดตั้งสถานีฐาน 5G มากกว่าสหรัฐฯ ถึง 13 เท่า แสดงให้เห็นถึงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตาม หากมองเช่นเดียวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม อาคารสูงและระบบ 5G ที่สร้างในสหรัฐฯ มักมีต้นทุนสูงกว่าหลายเท่า และจึงสะท้อนเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อหน่วยที่สูงกว่าเช่นกัน
### มหาวิทยาลัย งานวิจัย และเทคโนโลยีสำคัญ
ระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาของจีนขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากเมื่อราว 25 ปีก่อนที่มีเพียง 8% ของนักเรียนที่ได้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ปัจจุบันสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 77% ในปี 2024 ใกล้เคียงกับสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ราว 79% ในปี 2022 ในปี 2025 จีนมีบัณฑิตระดับวิทยาลัย (ทั้งหลักสูตร 2 ปีและ 4 ปี) จำนวนราว 12.2 ล้านคน เทียบกับบัณฑิตในสหรัฐฯ ราว 3.2 ล้านคน
ค่าเล่าเรียนในจีนยังคงต่ำกว่าสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ภาคการศึกษาในสหรัฐฯ มีขนาดอุตสาหกรรมใหญ่ระดับราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี เทียบกับจีนที่ราว 265,000 ล้านดอลลาร์ ในแง่สาขาเรียน ปี 2023 จีนมีบัณฑิตปริญญาตรีด้านวิศวกรรมและวิทยาการคอมพิวเตอร์ราว 1.7 ล้านคน หรือประมาณ 6.7 เท่าของสหรัฐฯ ที่มีราว 250,000 คน[
สังคมสหรัฐฯ ถูกมองว่า “มั่งคั่งพอ” ที่จะรองรับค่าเล่าเรียนระดับสูง และมีระบบสินเชื่อผู้บริโภคที่เอื้อต่อการผ่อนชำระค่าเล่าเรียนตลอดชีวิต ขณะเดียวกัน นักศึกษาอเมริกันจำนวนไม่น้อยสามารถเลือกเรียนตามความสนใจส่วนบุคคล เช่น สาขานาฏศิลป์ วรรณคดีเปรียบเทียบ สตรีศึกษา หรือการสื่อสาร แทนที่จะมุ่งเน้นสาขาวิศวกรรมหรือสาขาเชิงเทคนิคที่ตลาดแรงงานต้องการ
ในเชิงผลงานวิจัย มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยในจีนกำลังขยายกำลังการผลิตงานทางวิทยาศาสตร์อย่างเข้มข้น ปัจจุบันจีนผลิตบทความวิทยาศาสตร์มากกว่าสหรัฐฯ ราว 2 เท่า และแซงหน้าสหรัฐฯ ในดัชนี Nature Index ตั้งแต่ปี 2022 พร้อมทั้งครองความเป็นผู้นำในกลุ่มบทความคุณภาพสูงระดับ 1% แรกที่ได้รับการอ้างอิงมากที่สุด และจำนวนคำขอจดสิทธิบัตร
จีนยังครองความเป็นผู้นำในดัชนีเทคโนโลยีของสถาบันนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ออสเตรเลีย (Australian Strategic Policy Institute: ASPI) โดยมีความได้เปรียบในเทคโนโลยีสำคัญ 66 จาก 74 ด้าน หรือคิดเป็นราว 89% เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นทศวรรษ 2000 ที่จีนมีความเป็นผู้นำเพียงราว 5% ของเทคโนโลยีที่มีการติดตาม การเน้นการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Applied Science) และเทคโนโลยีที่นำไปใช้จริงได้รวดเร็ว ถูกมองว่าเป็นรูปแบบที่ “เศรษฐกิจเกิดใหม่” อย่างจีนจำเป็นต้องทำเพื่อใช้ทรัพยากรอย่างจำกัดให้คุ้มค่าที่สุด
### สุขภาพ การบริโภค และอุตสาหกรรมการแพทย์
ในมิติสุขภาพ ประชาชนจีนและสหรัฐฯ มีอายุขัยเฉลี่ยใกล้เคียงกันที่ราว 79 ปีในปี 2024 แต่ข้อมูลก่อนการระบาดของโควิด-19 ชี้ว่า ประชาชนจีนมี “อายุขัยที่มีสุขภาพดี” (Healthy life expectancy) สูงกว่าชาวสหรัฐฯ ราว 2.5 ปี หรือมีช่วงเวลาในการใช้ชีวิตโดยปลอดจากโรคหรือการบาดเจ็บนานกว่า
ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างการบริโภคอาหาร แม้จีนบริโภคเนื้อสัตว์และอาหารทะเลรวมมากกว่าสหรัฐฯ ราวกว่า 3 เท่าในเชิงปริมาณ แต่ในระดับ “ต่อหัว” การบริโภคยังต่ำกว่าสหรัฐฯ ราว 23% ทำให้จีนมีอัตราโรคอ้วนและโรคที่เกี่ยวเนื่อง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง ต่ำกว่าสหรัฐฯ
ความแตกต่างดังกล่าวสะท้อนผ่านมูลค่าอุตสาหกรรมสุขภาพ ในปี 2024 ธุรกิจด้านบริการสุขภาพในสหรัฐฯ มีมูลค่าราว 5 ล้านล้านดอลลาร์ เทียบกับจีนที่ราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนต้นทุนทางการแพทย์ที่สูงและการใช้จ่ายเพื่อรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในสหรัฐฯ ที่ผลักดันให้ตัวเลข GDP สูงขึ้น
### จากรถยนต์ถึง “เป็ด”: มุมมองไม่ธรรมดาในสงครามตัวเลข
ตัวเลขด้านการผลิต–การบริโภคอีกหลายชุด สะท้อนความแตกต่างเชิงโครงสร้างของสองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทั้งด้านยานพาหนะ โครงสร้างพื้นฐาน และพฤติกรรมผู้บริโภค ทว่าตัวเลขที่โดดเด่นที่สุดตัวหนึ่งอยู่ในภาคปศุสัตว์ นั่นคือ “การผลิตเป็ด”
ข้อมูลระบุว่า จีนผลิตเป็ดได้มากกว่าสหรัฐฯ ถึง 92 เท่า ซึ่งถือเป็นความแตกต่างในระดับ “มหาศาล” เมื่อพิจารณาในเชิงสัดส่วนและปริมาณ ช่องว่างดังกล่าวใหญ่จนชวนให้ตั้งคำถามเชิงเสียดสีว่า หากดูจากสถิติบางด้านแล้ว จีนยังเป็นเพียง “เศรษฐกิจอันดับสองของโลก” อยู่จริงหรือไม่ หรือในบางมิติ จีนได้ก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นรายสำคัญที่ท้าทายโครงสร้างเดิมของเศรษฐกิจโลกไปแล้วเรียบร้อย
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/12/first-and-second-largest-economies-in-charts-and-figures/