.

100 วันแรกของความล้มเหลวในการทำหน้าที่ประธานาธิบดีสมัยที่2ของโดนัลด์ ทรัมป์ ( ตอน 1)
โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศยุคทองของอเมริกาได้เริ่มขึ้นแล้วหลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20มกราคมที่ผ่านมา และให้สัญญาคนอเมริกันว่าจะทำให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่อีกคร้ัง แต่หลังจากบริหารประเทศครบ100วันในวันที่ 30เมษายนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าทรัมป์ประสบกับความล้มเหลวในนโยบายหลัก ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ การยุติสงครามยูเครน การสร้างสันติภาพในโลก แม้ว่าทรัมป์ควรจะได้เครดิตจากการนำเอาค่านิยมอนุรักษ์นิยมกลับคืนสู่อเมริกาก็ตาม
ปัญหาใหญ่ของทรัมป์คือจะเลือกฟื้นฟูเศรษฐกิจของสหรัฐ หรือจะยังคงเดินหน้าให้สหรัฐทำตัวเป็นตำรวจโลกอีกต่อไป ถ้าหากทรัมป์เลือกที่จะสร้างเศรษฐกิจของสหรัฐให้กลับมายิ่งใหญ่ เขาต้องหันมาทุ่มพลังงาน และทรัพยากรทั้งหมดเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งที่เป็นกายภาพและการพัฒนาบุคคลกร และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการเงินไปพร้อมๆกัน โดยที่ต้องเลือกเอาผลประโยชน์ของคนอเมริกันส่วนใหญ่เป็นที่ตั้ง แทนที่จะให้การสนับสนุนพวกบริษัทบิ๊กเทค หรือวอลล์สตรีทที่กอบโกยความมั่งคั่งส่วนใหญ่ให้กับผู้ถือหุ้นที่เป้นคนส่วนน้อยของประเทศ ถ้าหากจะทำเช่นนั้น ทรัมป์จะต้องหันหลังให้กับนโยบายการทำตัวเป็นจ้าวโลกแต่ผู้เดียว ด้วยการยกเลิกการแทรกแซงกิจการในต่างประเทศเหมือนกับที่รัฐบาลสหรัฐทุกสมัยได้ดำเนินการมาตั้งแต่หลังสงครามโลกคร้ังที่สอง ทรัมปืต้องเลือกเอาอย่างไรอย่างหนึ่ง จะทำท้ังสองอย่างพร้อมกันไม่ได้ เพราะว่าสหรัฐไม่ได้เข้มแข็งเหมือนอย่างในอดีต กำลังมีปัญหาหนี้สินที่พะรุงพะรัง และเศรษฐกิจมีความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง มิหนำซ้ำคู่แข่งอย่างจีน และรัสเซียมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รวมท้ังมีแสนยานุภาพทางทหารที่เกรียงไกร และกำลังรวบรวมประเทศเกิดใหม่ (Global South)เพื่อสร้างระบบโลกแบบพหุนิยมออกจากอิทธิพลของดอลล่าร์
จะถือว่าทรัมป์เป็นคนอเมริกันที่รักชาติ (Patriot) ถ้าหากทรัมป์เดินตามแนวทางที่ให้สัญญากับคนอเมริกันในช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีว่า จะมุ่งเน้นสร้างเศรษฐกิจสหรัฐให้กลับมายิ่งใหญ่อีกคร้ังผ่านการลงทุน แต่หากทรัมป์ยังคงให้ความสำคัญกับการแทรกแซงในกิจการต่างประเทศมากการการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใน ทรัมป์ก็จะถูกมองว่าเป็นพวกโลกบาล(Globalist) ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากประธานาธิบดีคนก่อนๆไม่ว่าจะเป็นบุชพ่อ บุชลูก คลินติน โอบามา หรือไบเดนที่ต้องการรักษาผลประโยชน์ของพวกCity of Londonที่ใช้แอบงานสหรัฐอเมริกาเพื่อปกป้องการมีอำนาจเหนือระบบการเงิน และการเมืองโลกของตนที่ดำเนินมายาวนานหลายร้อยปี
หลังจากเฝ้าดูการทำงานของทรัมป์ในช่วง100วันแรกของการทำงาน เราเห็นว่าทรัมป์กลับให้ความสำคัญกับวาระของพวกโลกบาลมากกว่ารักษาผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา การก่อสงครามภาษีกับทุกประเทศในโลกโดยทรัมป์ โดยพุ่งเป้าหลักไปที่จีนที่โดนกำแพงภาษี145%ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะว่ามันสร้างผลบูมเมอแรงที่ย้อนกลับมาทำร้ายสหรัฐอเมริกาเอง ทำให้สหรัฐขาดแคลนสินค้าเพื่อการบริโภค หรือส่วนประกอบเพื่อการผลิตอย่างรุนแรง มันเป็นไปไม่ได้ที่ทรัมป์จะฟื้นเศรษฐกิจด้วยการก่อสงครามการค้า ต้ังกำแพงภาษีสูงๆเพื่อที่จะลดการขาดดุลการค้า และกระตุ้นให้บริษัทย้ายฐานผลิตกลับมายังสหรัฐอเมริกา เพราะว่าสหรัฐต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างย่ิงจากจีน ทรัมป์คาดการณ์ผิด คิดว่ากำแพงภาษีจะบีบให้ทุกประเทศต้องคุกเข่ากับทำเนียบขาว ยอมแลกข้อตกลงทุกอย่างเพื่อให้ทรัมป์ลดภาษี เพราะว่าถ้าหากปราศจากตลาดผู้บริโภคสหรัฐ ประเทศต่างๆจะขายของไม่ได้ จะทำให้เศรษฐกิจพัง และประชาชนจะตกงาน
ไม่รู้เหมือนกันว่า ทีมงานของทรัมป์หรือหน่วยงานความมั่นคงให้คำแนะนำที่ดีที่สุดให้ทรัมป์หรือไม่ หรือว่าทรัมป์ตัดสินใจเองทุกนโยบายโดยใช้สามัญสำนึกของการเป็นนักเจรจาต่อรองทางธุรกิจของตัวเอง เศรษฐกิจของสหรัฐมีขนาดเพียง20%ของโลก จีนพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐเพียง14.7%ของการส่งออกท้ังหมดในปี 2024 เทียบกับ 19.2%ในปี 2018 เพราะจีนได้กระจายความเสี่ยงในการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆที่เริ่มมีการเจริญเติบโต ทำให้ตลาดสหรัฐไม่ได้เป็นศูนย์กลางของการบริโภคของโลกอีกต่อไปเหมือนอย่างในอดีต การก่อสงครามการค้าของทรัมป์ย่อมให้ผลร้ายมากกว่าผลดี แทนที่ทรัมป์จะเลือกฟื้นฟูเศรษฐกิจของสหรัฐด้วยการแสวงหาความร่วมมือกับจีนและประเทศต่างๆในลักษณะที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ซึ่งจะให้ผลในเชิงบวกมากกว่า ทรัมป์กับเลือกใช้วิธีการเผชิญหน้า การบังคับขู่เข็ญ การแบล็คเมล์ทำให้แม้แต่พันธะมิตรอย่างญี่ปุ่น ซึ่งสหรัฐมีฐานทัพอยู่120แห่ง และทหารอเมริกันประจำการ30,000-40,000นายกระจายไปทั่วประเทศ กำลังคิดหาทางลดการค้าขายกับสหรัฐ โดยจะหันไปสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับจีนและเกาหลีใต้เป็นหลักแทน
ส่วนจีนไม่ต้องพูดถึง เพราะว่าจีนจะไม่ยอมเจรจากับทรัมป์จนกว่าทรัมป์จะลดกำแพงภาษีบ้าเลือด145%ลงไปก่อน สก็อตต์ เบสเซนต์ รมว คลังสหรัฐออกมาบอกว่า จีนได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐมากถึง5เท่า ดังนั้นจีนต้องหันหน้ามาเจรจากับสหรัฐก่อน หากยิ่งชักช้า จะยิ่งต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจจากกำแพงภาษีของทรัมป์ เขาบอกต่อไปว่าคนจีนจะตกงาน10ล้านคนจากผลกระทบของกำแพงภาษี แต่หวัง อี้ รมวต่างประเทศจีนบอกว่า จีนจะไม่ยอมก้มหัวของการทำตัวเป็นนักเลงอันธพาลของสหรัฐ และเรียกร้องให้ประเทศต่างๆอย่าได้ก้มหัวให้กับสหรัฐ ยิ่งยอมก้มหัวให้ทรัมป์มากเท่าใด ก็ยิ่งจะโดนกลั่นแกล้งมากขึ้น ล่าสุด ทรัมป์พยายามปล่อยข่าวว่า จีนพยายามติดต่อเข้ามาเพื่อขอเจรจากับสหรัฐ แต่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาญิชย์ของจีนดาหน้าออกมาปฏิเสธว่ายังไม่มีการเจรจาใดๆ จนกว่าสหรัฐจะขอเปิดเจรจา และเสนอกรอบการลดภาษีลงไปให้ก่อน
ผลของกำแพงภาษี ซึ่งดำเนินการในช่วงที่เศรษฐกิจของสหรัฐมีความอ่อนแออยู่แล้ว ทำให้ความน่าเชื่อถือของทรัมป์ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชักเข้าชักออกของนโยบายแบบเกือบรายวัน ที่สำคัญ ทำให้เกิดการขายทรัพย์สินในรูปดอลล่าร์ ไม่ว่าจะเป็นตลาดบอนด์ ตลาดหุ้น และเงินดอลล่าร์ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ล่าสุดตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐติดลบ0.3% ในไตรมาสแรกของปี 2025
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า ทรัมป์ยังคงให้ความสำคัญกับพวกอุตสาหกรรมทางทหาร (US Military Industrial Complex) มากกว่าการฟื้นฟูเศรษบกิจที่แท้จริง คือการที่ทรัมป์จะเพิ่มงบประมาณทางทหารใหม่เริ่มต้นปี 2025เป็น$1ล้านล้าน หรือเพิ่มขึ้น 12%เมื่อเทียบกับงบประมาณทหาร$849,800ล้านในงบประมาณปีที่ผ่านมา แทนที่จะมุ่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน และเศรษฐกิจพร้อมกันไปในตัว ทรัมป์กลับจะทุ่มงบประมาณไปยังทางทหาร แตกต่างจากผู้นำจีนสี จิ้นผิงที่ใช้รายได้จากการส่งออกในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศจีน ทำให้จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่สุดในโลก และระบบซับไพลเชน รวมท้ังแรงงานที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพสูงสุด ทิม คุ๊ก ซีอีโอของแอปเปิ้ลได้ออกมายอมรับว่า ที่ทางบริษัทผู้ผลิตไอโฟนลงทุนในจีน ไม่ใช่เพราะแรงงานจีนมีราคาถูก แต่เพราะจีนมีระบบซับไพลเชน และมีแรงงานจีนมีคุณภาพที่หาไม่ได้จากที่ไหน
เศรษฐกิจของสหรัฐที่อ่อนแอ ที่กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย รวมท้ังตลาดบอนด์ที่เปราะบางจากภาระหนี้ที่สูงที่สุดในโลก เป็นจุดอ่อนที่จะทำให้ทรัมป์ดำเนินนโยบายในเชิงรุกไม่ได้ กระทรวงการคลังสหรัฐมีภาระที่จะต้องรีไฟแนนซ์หนี้เก่า$9ล้านล้านในปีนี้ ทำให้สหรัฐต้องพึ่งพาจีน หรือพึ่งพาโลก มากกว่าที่จีนหรือโลกที่จะพึ่งพาสหรัฐ การดำเนินนโยบายสงครามการค้าของทรัมป์จึงไม่น่าที่จะยืนหยัดต่อไปได้นาน ก่อนที่เศรษฐกิจของสหรัฐจะพัง จากการขาดแคลนสินค้า และจากการขายทิ้งทรัพย์สินดอลล่าร์ของนักลงทุน
ความจริง การก่อสงครามภาษีของทรัมป์มีวาระแอบแฝงมุ่งเป้าไปที่ความพยายามที่จะล้มจีน เพราะว่าเบสเซนต์แบไต๋ว่าประเทศใดที่ร่วมมือกับสหรัฐในการเลิกค้าขายกับจีน หรือสกัดไม่ให้จีนใช้เป็นฐานในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกจะได้รับการยกเว้นการเก็บภาษี แต่สี จิ้นผิงขู่กลับว่า ประเทศใดที่ร่วมมือกับสหรัฐในการบ่อนทำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจของจีน จะได้รับการตอบโต้อย่างรุนแรงเช่นกัน
พอจะเริ่มเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ทรัมป์มุ่งรักษาผลประโยชน์ของซิตี้ ออฟ ลอนดอนที่ต้องการทำลายจีนเพื่อรักษาอิทธิพลเหนือระบบการเงินโลกต่อไปมากกว่าผลประโยชน์ของสหรัฐเอง เพราะว่าหากสหรัฐต้องการกลับมายิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจอีกคร้ัง ทรัมป์ต้องร่วมมือกับจีนในการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าไปด้วยกันในลักษณะความเป็นหุ้นส่วน การดำเนินนโยบายที่เป็นปฏิปักษ์กับจีนทางการค้าไม่สามารถทำให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่ได้ แม้ว่าจะสามารถทำลายจีนได้ แต่สหรัฐก็จะพังไปด้วย
By Thanong Khanthong
2/5/2025