ชาติยุโรปร่วมสนับสนุนยูเครน

ชาติยุโรปร่วมสนับสนุนยูเครน ยืนยันสันติภาพในชาติที่ถูกสงครามทำลายไม่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่มีเคียฟ
11-8-2025
ก่อนการประชุมระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ที่จะมีขึ้นในรัฐอะแลสกา ทรัมป์ระบุว่าการประชุมกับผู้นำรัสเซียในวันศุกร์หน้าบนแผ่นดินสหรัฐฯ จะมุ่งเน้นไปที่การยุติสงครามซึ่งเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว
เซเลนสกี ตอบโต้ด้วยการขอบคุณชาติพันธมิตรยุโรปผ่านโพสต์บนแพลตฟอร์ม X เมื่อวันอาทิตย์ โดยระบุว่า
“จุดจบของสงครามจะต้องยุติอย่างเป็นธรรม และผมรู้สึกขอบคุณทุกคนที่ยืนหยัดเคียงข้างยูเครนและประชาชนของเรา”
ความกังวลจากการประชุม “ทรัมป์-ปูติน”
คำแถลงเมื่อวันเสาร์จากผู้นำยุโรปชั้นนำมีขึ้นหลังทำเนียบขาวยืนยันว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยินดีให้ปูตินเข้าพบแบบตัวต่อตัว ซึ่งรัสเซียเรียกร้องมานาน ขณะเดียวกัน ทรัมป์ก็ได้เสนอว่าข้อตกลงสันติภาพอาจรวมถึง “การแลกเปลี่ยนดินแดนบางส่วน” ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจมีแรงกดดันให้ยูเครนต้องยอมสละอธิปไตยหรือยกพื้นที่บางส่วนให้รัสเซีย
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ กล่าวกับสำนักข่าว Associated Press ว่าทรัมป์ยังเปิดกว้างต่อแนวคิดการจัดการประชุมสุดยอดสามฝ่าย (รวมผู้นำรัสเซียและยูเครน) แต่ในตอนนี้จะมีเพียงการประชุมแบบสองฝ่ายตามคำขอของปูติน
ขณะเดียวกัน รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจ.ดี. แวนซ์ ได้พบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยุโรปและยูเครนเมื่อวันเสาร์ ที่บ้านพักประจำตำแหน่งของรัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักร เพื่อหารือแนวทางยุติสงคราม
ทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่าจะพบกับปูตินไม่ว่าเขาจะยอมพบเซเลนสกีหรือไม่ก็ตาม
การประชุมระหว่างทรัมป์และปูตินครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสงครามที่เริ่มต้นจากการที่รัสเซียบุกยูเครน และได้คร่าชีวิตผู้คนนับหมื่น แม้จะยังไม่มีหลักประกันว่าการสู้รบจะยุติ เนื่องจากเงื่อนไขสันติภาพของมอสโกและเคียฟยังคงห่างกันมาก
เสียงเรียกร้องเพื่อข้อตกลงสันติภาพที่ยั่งยืน
คำแถลงเมื่อวันเสาร์ ซึ่งลงนามโดยประธานสหภาพยุโรป พร้อมด้วยผู้นำของฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี โปแลนด์ ฟินแลนด์ และสหราชอาณาจักร เน้นย้ำถึงความจำเป็นของ “สันติภาพที่ยุติธรรมและยั่งยืน” สำหรับยูเครน รวมถึงการรับประกันด้านความมั่นคงที่ “แข็งแกร่งและเชื่อถือได้”
“ยูเครนมีเสรีภาพในการกำหนดอนาคตของตนเอง การเจรจาอย่างมีความหมายจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีการหยุดยิงหรือการลดระดับการสู้รบ” แถลงการณ์ระบุ
ผู้นำยุโรปยังกล่าวเสริมว่า “หนทางสู่สันติภาพในยูเครนไม่อาจตัดสินใจได้โดยปราศจากยูเครน เรายังคงยึดมั่นในหลักการที่ว่า เส้นเขตแดนระหว่างประเทศต้องไม่ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยกำลัง”
ส.ว. สหรัฐฯ ลินด์เซย์ เกรแฮม เรียกร้องดีลที่แข็งแกร่ง
วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ลินด์เซย์ เกรแฮม (พรรครีพับลิกัน จากรัฐเซาท์แคโรไลนา) ให้สัมภาษณ์กับ NBC News เมื่อวันอาทิตย์ว่า
ข้อตกลงที่ดี คือข้อตกลงที่ สามารถป้องกันไม่ให้รัสเซีย หรือผู้รุกรานรายอื่น กล้าเปลี่ยนแปลงพรมแดนด้วยกำลังอีกในอนาคต
แม้จะเป็นพันธมิตรของทรัมป์และมีจุดยืนแข็งกร้าวต่อรัสเซีย เกรแฮมยังกล่าวว่า
“คุณไม่สามารถยุติสงครามได้ หากไม่เปิดการเจรจา” เขาเสริมว่า
“ผมหวังว่าเซเลนสกีจะได้มีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ และผมมั่นใจอย่างยิ่งว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเข้าพบปูตินในฐานะผู้นำที่มีอำนาจ พร้อมปกป้องผลประโยชน์ของยุโรปและยูเครน เพื่อยุติสงครามนี้อย่างมีเกียรติ”
เกรแฮมยอมรับว่า “ยูเครนคงไม่สามารถขับไล่ทหารรัสเซียทุกนายออกจากแผ่นดินได้”
แต่เขาเสนอว่า ตะวันตกควรให้หลักประกันความมั่นคงที่แข็งแกร่งแก่ยูเครน ควร รักษากองกำลังบางส่วนไว้ในพื้นที่ เป็น “สัญญาณเตือนภัย” และ ยังคงส่งอาวุธต่อไป “เพื่อให้รัสเซียหวาดกลัวต่อกองทัพที่ทรงอานุภาพที่สุดในทวีปยุโรป”
ความพยายามไร้ผลในการผลักดันข้อตกลงหยุดยิง
ความพยายามที่นำโดยสหรัฐฯ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาในการผลักดันให้เกิดการหยุดยิงในยูเครน ยังไม่ประสบผลสำเร็จ โดยที่ฝ่ายเคียฟเห็นชอบในหลักการ ขณะที่เครมลินยังคงยืนกรานเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง
ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังได้เร่งกำหนดเส้นตายเพื่อบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อรัสเซีย รวมถึงการเก็บภาษีรองจากประเทศที่ยังซื้อ น้ำมันจากรัสเซีย หากเครมลินไม่แสดงท่าทีเดินหน้าสู่การยุติความขัดแย้ง โดยเส้นตายคือวันศุกร์ที่ผ่านมา
ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะให้คำตอบในวันเสาร์เกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตร
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เครมลินได้ย้ำข้อเรียกร้องเดิม ได้แก่
ให้ยูเครน ยกดินแดนบางส่วน
ยกเลิกความพยายามเข้าร่วม NATO
และ ยอมรับข้อจำกัดด้านกองทัพ
เพื่อแลกกับการที่รัสเซียจะถอนทหารออกจากพื้นที่ที่เหลือของยูเครน
สิ่งที่สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งแก่เคียฟคือข้อเรียกร้องจากมอสโกที่ให้ ยกพื้นที่บางส่วนในภาคตะวันออกและใต้ ซึ่งรัสเซียอ้างว่าได้ผนวกไว้แล้ว แม้จะยังไม่มีอำนาจควบคุมทางทหารโดยสมบูรณ์ก็ตาม
มาร์ก กาเลียวตติ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองรัสเซียจากสหราชอาณาจักร และผู้อำนวยการศูนย์วิจัย Mayak Intelligence กล่าวว่า
ยุทธวิธีของรัสเซียที่ล้อมเมืองต่าง ๆ ทางตะวันออกของยูเครน ก่อให้เกิด “ความก้าวหน้าเชิงพื้นที่ต่อเนื่อง” ให้กับรัสเซีย
และ “ปูตินดูจะไม่รู้สึกว่าตนเองอยู่ภายใต้แรงกดดันแต่อย่างใด”
กาเลียวตติระบุในบทวิเคราะห์ที่ตีพิมพ์เมื่อวันอาทิตย์โดยหนังสือพิมพ์ The Sunday Times ของอังกฤษว่า
“สำหรับเครมลิน การถ่วงเวลาการดำเนินการใด ๆ จากสหรัฐฯ และภาพลักษณ์ของการได้พบกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ถือว่าเป็นชัยชนะแล้ว”
เซเลนสกีปฏิเสธแนวคิดยกดินแดนให้รัสเซีย
ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า
“ยูเครนจะไม่มอบรางวัลใด ๆ ให้รัสเซียสำหรับสิ่งที่พวกเขาทำ” และ “ชาวยูเครนจะไม่ยกแผ่นดินของตนให้แก่ผู้รุกราน”
ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลยูเครนเคยบอกกับสำนักข่าว AP แบบไม่เปิดเผยชื่อว่า เคียฟอาจยอมรับข้อตกลงสันติภาพที่ยอมรับโดยปริยายว่าไม่สามารถยึดดินแดนที่เสียไปกลับคืนมาได้โดยวิธีการทางทหาร
แต่ในวันเสาร์ เซเลนสกียืนกรานว่า จะไม่มีการยกดินแดนอย่างเป็นทางการไม่ว่าในกรณีใด
มาร์ก กาเลียวตติ นักวิเคราะห์การเมืองรัสเซียชาวอังกฤษ ให้ความเห็นว่า
ข้อตกลงใด ๆ ที่มีการยอมสละดินแดนจะเป็นเรื่อง “เจ็บปวดอย่างยิ่ง” และเสี่ยงทางการเมืองอย่างสูงสำหรับเซเลนสกี
ด้าน อันดรีย์ เยอร์มัก หัวหน้าที่ปรึกษาของเซเลนสกี กล่าวว่าเมื่อวันอาทิตย์ว่า
“ยูเครนจะพยายามเพิ่มอำนาจต่อรองให้ได้มากที่สุดก่อนการประชุมทรัมป์–ปูติน”
เขากล่าวว่า “สัปดาห์ข้างหน้าจะเป็นช่วงเวลาสำคัญของการทูต”
การผลักดันมาตรการคว่ำบาตร
นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฟรีดริช แมร์ทซ์ กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า ผู้นำยุโรปกำลังเตรียมการอย่างเข้มข้น สำหรับการประชุมสุดยอดในอะแลสกา และพวกเขา “หวังและคาดหวัง” ว่าเซเลนสกีจะได้รับเชิญให้เข้าร่วมด้วย
แมร์ทซ์ให้สัมภาษณ์กับสถานี ARD ของเยอรมนีว่า เขาได้ผลักดันให้รัฐบาลวอชิงตันใช้มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงขึ้นต่อรัสเซียมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว
“ปูตินจะยอมขยับก็ต่อเมื่อเขาอยู่ภายใต้แรงกดดันเท่านั้น”
มีคาอิล คาสยานอฟ อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกในยุครัฐบาลปูติน ซึ่งต่อมากลายเป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ก็ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า
“เครมลินจะจริงจังกับการเจรจาและยอมประนีประนอมก็ต่อเมื่อมาตรการคว่ำบาตรกดดันเศรษฐกิจของรัสเซียมากยิ่งขึ้น”
มาร์ก รุตเตอ เลขาธิการ NATO กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า
เขาชื่นชมสหรัฐฯ ที่ดำเนินการต่าง ๆ เช่น การอนุญาตให้มีการจัดส่งยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมแก่ยูเครน
รวมถึงการคว่ำบาตรรองต่ออินเดียสำหรับการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย โดยกล่าวว่า “ทรัมป์กำลังกดดันปูตินอย่างชัดเจน”
รุตเตอให้สัมภาษณ์กับ ABC News ว่า “วันศุกร์หน้าเป็นวันสำคัญ เพราะมันจะเป็นบททดสอบว่าปูตินจริงจังแค่ไหนกับการยุติสงครามอันโหดร้ายนี้”
ที่มา CNBC