.

สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมชาติตะวันตกถึงต้องการทำสงครามกับจีน
5-8-2025
โดย Jason Hickel และ Dylan Sullivan
Al Jazeera | 3 สิงหาคม 2025
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ท่าทีของสหรัฐฯ ต่อจีนได้เปลี่ยนจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจไปสู่ความเป็นปฏิปักษ์อย่างเปิดเผย สื่อกระแสหลักและนักการเมืองสหรัฐฯ พากันปลุกปั่นวาทกรรมต่อต้านจีนอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลวอชิงตันออกมาตรการควบคุมทางการค้าและคว่ำบาตรจีน อีกทั้งยังเร่งเสริมกำลังทหารในพื้นที่ใกล้ชายแดนจีน
รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการให้ประชาชนเชื่อว่า จีนคือภัยคุกคาม แม้การผงาดขึ้นของจีนจะกระทบต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ จริง แต่ไม่ใช่ในแบบที่ชนชั้นนำการเมืองของสหรัฐฯ พยายามอธิบาย
"การรักษาความมั่งคั่ง" ของโลกเหนือ
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ต้องถูกมองผ่านเลนส์ของระบบทุนนิยมโลก (capitalist world system) ในระบบนี้ การสะสมทุนใน “รัฐแกนกลาง” (core states) ซึ่งมักเรียกรวมว่า “โลกเหนือ” (Global North) ดำรงอยู่ได้ด้วยแรงงานราคาถูกและทรัพยากรต้นทุนต่ำจากประเทศรอบนอกและกึ่งรอบนอก — หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โลกใต้” (Global South)
โครงสร้างนี้คือหัวใจสำคัญในการรักษาระดับผลกำไรสูงของบรรษัทข้ามชาติที่ควบคุมห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก... แต่ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ค่าจ้างแรงงานในจีนได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ย้อนกลับไปในปี 2005 ต้นทุนแรงงานต่อชั่วโมงในภาคการผลิตของจีนยังต่ำกว่าของอินเดีย — ไม่ถึง 1 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง
แต่ในเวลานี้ ค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงในจีนพุ่งขึ้นเกิน 8 ดอลลาร์ ขณะที่อินเดียอยู่ที่ประมาณ 2 ดอลลาร์เท่านั้น ที่สำคัญ จีนตอนนี้มีค่าจ้างแรงงานสูงกว่าทุกประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย
นี่คือการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ
มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้:
หนึ่งคือ แรงงานส่วนเกินในชนบทของจีนถูกดูดซับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบรับค่าจ้าง อย่างต่อเนื่อง ทำให้ อำนาจต่อรองของแรงงานเพิ่มขึ้น
อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ขยายบทบาทของรัฐในระบบเศรษฐกิจ โดยเสริมสร้างบริการสาธารณะ เช่น ระบบสาธารณสุขและที่อยู่อาศัยของรัฐ ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานจีนโดยตรง
ทั้งหมดนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างมากสำหรับแรงงานจีน — แต่กลับเป็น ปัญหาใหญ่สำหรับกลุ่มทุนในโลกตะวันตก เพราะ ค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้นในจีน กดทอนกำไรของบรรษัทข้ามชาติ ที่ยังคงพึ่งพาการผลิตในจีน หรือใช้ชิ้นส่วนจากจีนเป็นวัตถุดิบหลักในห่วงโซ่อุปทาน
ความตึงเครียดทางทหารที่ไม่เคยหายไป
อีกหนึ่งปัญหาสำคัญต่อ "รัฐแกนกลาง" (core states) ก็คือ การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างและราคาสินค้าในจีน ทำให้จีนหลุดพ้นจากระบบแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียม
ในยุคค่าแรงต่ำของช่วงปี 1990 อัตราส่วนการส่งออกต่อการนำเข้าของจีนกับประเทศในโลกเหนือสูงมาก — จีนส่งออกสินค้าราคาถูกจำนวนมหาศาล และนำเข้าสินค้าราคาแพงน้อยมาก ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่เสียเปรียบต่อจีน แต่เมื่อราคาสินค้าและค่าจ้างในจีนเพิ่มขึ้น ระบบนี้ก็เริ่มเสียสมดุล — และนั่นเป็น ภัยคุกคามต่อกลไกสะสมทุนของโลกเหนือ ซึ่งเคยพึ่งแรงงานจีนต้นทุนต่ำเป็นฐานการผลิตราคาถูก
ข่าวเทคโนโลยีที่ออกมาจากจีนในช่วงนี้ทำให้หลายคนตื่นตะลึง ความสำเร็จเหล่านี้มักจะพบได้เฉพาะในประเทศที่มีรายได้สูงเท่านั้น แต่จีนสามารถทำได้แม้มีจีดีพีต่อหัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ “พัฒนาแล้ว” ถึงเกือบ 80% นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สิ่งนี้กลายเป็นปัญหาสำหรับประเทศศูนย์กลาง เพราะหนึ่งในเสาหลักของระเบียบจักรวรรดิคือ การผูกขาดเทคโนโลยีที่จำเป็น เช่น เครื่องจักรทุน ยา คอมพิวเตอร์ อากาศยาน เป็นต้น
การผูกขาดเหล่านี้ทำให้ประเทศใน “โลกใต้” ต้องตกอยู่ในสภาพพึ่งพา คือจำเป็นต้องส่งออกทรัพยากรราคาถูกจำนวนมาก เพื่อให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศศูนย์กลางสามารถแสวงหาผลประโยชน์สุทธิผ่านการแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียมกัน
ทางเลือกใหม่แทนอิทธิพลจักรวรรดิตะวันตก
การพัฒนาเทคโนโลยีของจีนในขณะนี้กำลังทำลายการผูกขาดของโลกตะวันตก และอาจเปิดทางให้ประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ มีทางเลือกใหม่ในการเข้าถึงสินค้าที่จำเป็นในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น สิ่งนี้เป็นความท้าทายขั้นพื้นฐานต่อระเบียบจักรวรรดิและการแลกเปลี่ยนที่ไม่เป็นธรรม
สหรัฐฯ ตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรที่มีเป้าหมายเพื่อขัดขวางการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน แต่จนถึงขณะนี้ มาตรการดังกล่าวยังไม่ได้ผล กลับกัน ยังยิ่งกระตุ้นให้จีนเร่งพัฒนาความสามารถทางเทคโนโลยีที่เป็นอิสระมากยิ่งขึ้น
เมื่ออาวุธนี้เริ่มไร้ผล สหรัฐฯ จึงหันไปใช้ยุทธศาสตร์การยั่วยุสงคราม โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อทำลายฐานอุตสาหกรรมของจีน และเบี่ยงเบนการลงทุนและทรัพยากรการผลิตของจีนไปสู่ภาคการป้องกันประเทศ
ทำไมสหรัฐฯ ถึงต้องการทำสงครามกับจีน
สหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการทำสงครามกับจีนเพราะจีนเป็นภัยคุกคามทางทหารต่อประชาชนอเมริกัน แต่เพราะการพัฒนาของจีนเป็นการบ่อนทำลายผลประโยชน์ของทุนจักรวรรดิ
คำกล่าวอ้างของตะวันตกที่ว่าจีนเป็นภัยคุกคามทางทหารเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อ ข้อเท็จจริงในทางวัตถุแสดงให้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้าม โดยแท้จริงแล้ว งบประมาณทางทหารต่อหัวของจีนยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก และต่ำกว่าสหรัฐฯ ถึง 10 เท่า
ใช่ จีนมีประชากรมาก แต่ถึงแม้จะวัดในเชิงตัวเลขรวม กลุ่มพันธมิตรทางทหารของสหรัฐฯ ก็ยังใช้งบประมาณทางทหารมากกว่าจีนถึงเจ็ดเท่า สหรัฐฯ ยังครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ถึงแปดลูกต่อหนึ่งลูกที่จีนมี
เรื่องเท็จเกี่ยวกับ ‘ภัยคุกคามจากจีน’
จีนอาจมีศักยภาพเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้สหรัฐฯ บังคับใช้อำนาจต่อจีนได้ แต่ไม่ได้มีอำนาจที่จะบังคับโลกเหมือนที่ประเทศศูนย์กลางทำ เรื่องเล่าว่าจีนเป็นภัยคุกคามทางทหารนั้นจึงเกินจริงอย่างมาก
ในความเป็นจริง สิ่งที่ตรงกันข้ามต่างหากที่เกิดขึ้น สหรัฐฯ มีฐานทัพและสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารกระจายอยู่ทั่วโลกจำนวนหลายร้อยแห่ง และจำนวนไม่น้อยตั้งอยู่ใกล้จีน เช่น ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ในขณะที่จีนมีฐานทัพในต่างประเทศเพียงแห่งเดียว ที่ประเทศจิบูตี และไม่มีฐานทัพใดใกล้ชายแดนของสหรัฐฯ เลย
นอกจากนี้ จีนไม่ได้ยิงกระสุนแม้แต่นัดเดียวในการทำสงครามระหว่างประเทศมานานกว่า 40 ปี ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกัน สหรัฐฯ ได้รุกราน ทิ้งระเบิด หรือทำการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในประเทศโลกใต้มากกว่าหนึ่งโหล หากจะมีรัฐใดที่เป็นภัยต่อสันติภาพและความมั่นคงของโลกอย่างแท้จริง ก็คือสหรัฐอเมริกา
เหตุผลที่แท้จริงของความเป็นปฏิปักษ์จากตะวันตกก็คือ การที่จีนสามารถพัฒนาตนเองอย่างมีอธิปไตย ซึ่งเป็นการบ่อนทำลายระเบียบจักรวรรดิที่ทุนตะวันตกพึ่งพาในการสะสมทุน โลกตะวันตกจะไม่ยอมปล่อยให้มหาอำนาจทางเศรษฐกิจหลุดลอยไปอย่างง่ายดาย
https://x.com/NuryVittachi/status/1952164818456334643