.

ศึกละแวกคร้ังนี้ใหญ่หลวงนัก
ในขณะที่กัมพูชากำลังเข้าร่วมยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิคของสหรัฐเพื่อปิดล้อมจีน ไทยควรออกจากร่มเงาของยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิค และหันไปเน้นความร่วมมือในกลุ่มBRICSแทน
ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกับพูชาที่ผ่านมาเกิดจากความพยายามของสหรัฐที่จะสร้างความแตกแยกและปกครอง (Divide and Rule) เพื่อเปิดทางให้สหรัฐเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้สะดวกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายในการลดอิทธิพลของจีน หรือเผชิญหน้าจีนทางทหารในอนาคต
ยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกริเริ่มในปี2017โดย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในสมัยแรก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลทรัมป์เพื่อถ่วงดุลอิทธิพลของจีนในภูมิภาค โดยอ้างว่ามีเป้าหมายที่จะส่งเสริมภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง ยุทธศาสตร์นี้ต่อยอดจากแนวคิดก่อนหน้านี้ของ“การหันเหสู่เอเชีย (Pivot to Asia) จากรัฐบาลโอบามา แต่ได้รับการกำหนดอย่างเป็นทางการภายใต้ทรัมป์ โดยใช้คำว่า "อินโดแปซิฟิก" แทน "เอเชีย-แปซิฟิก" ในวาทกรรมนโยบายของสหรัฐฯ
ยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกที่นำโดยสหรัฐฯ ไม่มีสมาชิกที่แน่นอนเหมือนพันธมิตรอย่างเป็นทางการ เนื่องจากตามคำกล่าวอ้างของสหรัฐเป็นกรอบยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่เสรี เปิดกว้าง เชื่อมโยงกัน มั่งคั่ง ปลอดภัย และยืดหยุ่น
แต่ในความเป็นจริง ยุทธศาสตร์อินโดแปซืฟิคมองว่าจีนเป็นภัยคุกคามความมั่นคง และเสถียรภาพในภูมิภาค การมีส่วนร่วมจะแตกต่างกันไปตามแต่ละโครงการของยทุธศาสตร์อินโดแปซิฟิค มีองค์ประกอบหลักประกอบด้วย:
1. พันธมิตรและหุ้นส่วนหลัก: กลยุทธ์นี้เน้นการกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรตามสนธิสัญญา (ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ไทย) และหุ้นส่วนสำคัญ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย มองโกเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ไต้หวัน เวียดนาม และประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก
2. ควอด (Quad): องค์ประกอบสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสี่ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย อินเดีย และญี่ปุ่น
3. AUKUS: ข้อตกลงความมั่นคงไตรภาคีระหว่างสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร
4. พันธมิตรใน Blue Pacific: รวมถึงสหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร ซึ่งมุ่งเน้นที่ประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก
5. กรอบเศรษฐกิจอินโดแปซิฟิก (IPEF): เปิดตัวด้วย 13 ประเทศหุ้นส่วนเริ่มต้น ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม และสหรัฐฯ
ไทยได้เข้าร่วมยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิคในสมัยของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดในนโยบายต่างประเทศ และนโยบายความมั่นคงของไทยอย่างร้ายแรง โดยมีการเซ็นความร่วมมือในลักษณะที่เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ แต่ว่าไม่ได้ผ่านการรับรองจากรัฐสภาไทย
การที่ประยุทธ์นำพาประเทศไทยเข้าร่วมยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิค ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนเสื่อมลงอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าขาย การลงทุน โครงการรถไฟไทยจีนที่ล่าช้า นักท่องเที่ยวจีนที่ไม่มาไทย และปัญหาความร่วมมือในการปราบจีนเทา ในระยะยาว หากสถานการณ์ยังคงลากยาวในลักษณะนี้ จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนยิ่งจะร้าวฉานมากขึ้น และจะไม่เป็นผลดีต่อไทย เพราะว่าจีนกำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกในศตวรรษที่ 21ในขณะที่สถานภาพของสหรัฐในฐานะมหาอำนาจโลกกำลังเสื่อมลง
โดยเนื้อหาที่แท้จริง ยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิคเปรียบเหมือนนาโต้แห่งเอเชีย ที่ต้องการเน้นความร่วมมือทางทหาร ซึ่งจะทำให้ภูมิภาคนี้เกิดความแตกแยก และต้องพึ่งพาสหรัฐด้านการทหาร เหมือนกับที่ยุโรปและยูเครนกำลังเผชิญกับความล่มจมอยู่ในเวลานี้จากเกมภูมิรัฐศาสตร์ที่ถูกลากเข้าไปเผชิญหน้าทางสงครามกับรัสเซียเพื่อมุ่งทำลายรัสเซียที่เป็นคู่แข่งของสหรัฐในการสร้างอิทธิพลในยูเรเซีย
จึงพอที่จะสรุปได้ว่ายุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิคทีเป้าหมายที่จะปิดล้อมจีนทางทหาร เหมือนกับยุทธศาสตร์ของนาโต้ที่กำลังปิดล้อมรัสเซียทางทหารที่ยุโรป
ไบรอัน เบอร์เลติก (Brian Berletic) อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ และนักวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์ บอกว่าความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ‘เป็นประโยชน์’ ต่ออเมริกาเท่านั้น เนื่องจากสหรัฐฯ มองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านเลนส์เดียว: “แบ่งแยกแล้วปกครอง” เบอร์เลติก เผยเบื้องหลังว่าวอชิงตันจะได้ประโยชน์จากความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ เพราะว่ายิ่งวุ่นวายยิ่งจะควบคุมได้ง่ายและมากขึ้น
“มันจะก่อให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาค ชะลอการเติบโตและการพัฒนา และเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ กลับมายึดอิทธิพลในภูมิภาคอีกครั้ง” เขากล่าว
ผลที่ตามมาคือ ความตึงเครียดจะ ถ่วงรั้งความเป็นหนึ่งเดียวทางเศรษฐกิจและการเมือง ที่จีนพยายามส่งเสริมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อที่จะ“หลุดพ้นจากอิทธิพลตะวันตกที่ดำรงอยู่นานหลายชั่วอายุคน รวมถึงลัทธิล่าอาณานิคมอย่างเปิดเผย”
เบอร์เลติกกล่าวต่อไปว่า ในขณะที่สหรัฐต้องการสร้างความแตกแยกและปกครอง จีนเน้น ความร่วมมือและการพัฒนาร่วมกัน รักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทั้งกัมพูชาและไทย และสนับสนุน สันติภาพ เสถียรภาพ และการยุติความขัดแย้งโดยเร็ว
ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า กัมพูชาได้เข้าร่วมยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิคของสหรัฐอย่างเป็นทางการหรือยัง แต่เมื่อดูหลักฐานพยานแวดล้อมแล้ว จะเห็นได้ว่าฮุนเซนได้ตัดสินใจแปรพักตร์หันไปสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐ และหักหลังจีน แม้ว่าจีนจะให้ความช่วยเหลือกัมพูชาทางเศรษฐกิจและทางทหารตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา
การสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาเมื่อเร็วๆนี้ได้ลงนามในสัญญา 15 เดือนด้วยค่าบริการรายเดือน 38,000 ดอลลาร์ กับบริษัทล็อบบี้ชื่อ National Consulting Services (NCS) เพื่อช่วย “สร้างภาพลักษณ์ให้ราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นมิตรที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ โดยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์อันดีกับจีน” สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนทิศนโยบายต่างประเทศของกัมพูชาอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ พล.ท. ซวน สมนัง ประธานกลุ่มประสานงานความร่วมมือทางทหารของกัมพูชายังได้เดินทางไปเยือนกองบัญชาการอินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ (USINDOPACOM) เพื่อพบปะกับพล.ท. จอร์จ โรเวลล์ แห่งนาวิกโยธินสหรัฐฯ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์และนโยบาย (J5) ของกองบัญชาการอินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ (USINDOPACOM)ที่ฮาวายระหว่างวันที่ 24-25กรกฎาคมที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความริเริ่มที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นที่ทั้งกัมพูชากับสหรัฐจะขยายความร่วมมือทางทหารทวิภาคี โดยมุ่งเน้นเป็นพิเศษที่การฝึกร่วม การศึกษาในระดับวิชาชีพทหาร และโครงการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
นอกจากนี้ยังมีการหารือถึงแนวทางที่เป็นไปได้ในการรื้อฟื้นการฝึกซ้อมร่วม "Angkor Sentinel" ระหว่างสหรัฐฯ–กัมพูชา ซึ่งสะท้อนถึงพัฒนาการใหม่ในความร่วมมือด้านกลาโหมของทั้งสองประเทศ
พลเรือเอก ซามูเอล เจ. ปาปาโร ผู้บัญชาการกองบัญชาการอินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ ได้เยือนกัมพูชาในเดือนธันวาคม 2024 ในโอกาสที่กัมพูชาต้อนรับการมาเยือนของเรือรบสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี โดยเขาได้เดินทางเยี่ยมชมเรือ USS Savannah ณ ท่าเรือสินหนุกวิลล์ ออโตโนมัส พร้อมด้วย พล.ร.ต. เมย์ ดีนา ผู้บัญชาการฐานทัพเรือเรียม และผู้ว่าราชการจังหวัดพระสีหนุ มัง ซิเน็ต
มีรายงานเพิ่มเติมว่า นายพีท เฮกเซธ รมว กลาโหมสหรัฐจะเดินทางมาเยือนกัมพูชาก่อนสิ้นปีนี้ รวมท้ังกองเรือรบของสหรัฐจะแวะเยือนท่าเรือเรียมที่จีนสร้างให้กัมพูชา ในขณะที่จีนมีเรือรบฟรีเกทสองลำประจำการอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าสถานการณ์จะเป็นที่น่ากระอักกระอ่วนใจอย่างไร หรือตึงเคลียดมากเพียงใด เมื่อเรือรบสหรัฐกับเรือรบจีนต้องมาทอดสมอใกล้กันที่ท่าเรือเรียม
ในขณะที่กัมพูชากำลังจะเข้าร่วมยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิค ไทยควรที่จะรีบถอนตัวออกมา เพราะว่าไทยไม่ควรมีส่วนร่วมในการกระพือความขัดแย้งของมหาอำนาจ ซึ่งจะสร้างความเสี่ยงของสงครามใหญ่ในภูมิภาค การอยู่ในยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิคจะทำให้ไทยต่อไปต้องพึ่งพาสหรัฐทางทหาร และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่สหรัฐสั่งให้ทำ เหมือนกับที่นาโต้ยุโรปโดนโดนัลด์ ทรัมป์สั่งให้เพิ่มการใช้จ่ายทางทหารจาก2%เป็น 5%ต่อจีดีพี เพื่อเอางบประมาณทหารที่เพิ่มไปซื้ออาวุธจากสหรัฐ
แม้ว่ายุโรปจะยอมเป็นเบี้ยล่างของสหรัฐ แต่ข้อตกลงทางการค้าที่สรุปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วระหว่างทรัมป์กับสหภาพยุโรป ไม่เพียงรวมถึงภาษี 15% สำหรับสินค้าจากสหภาพยุโรปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อผูกพันของบรัสเซลส์ที่จะลงทุน 600,000 ล้านดอลลาร์ในเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจัดซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 750,000 ล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า
ในทางตรงกันข้าม สหราชอาณาจักร ซึ่งเจรจาโดยอิสระ ได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่า โดยตกลงภาษีการส่งออกที่ต่ำกว่าอยู่ที่ 10%
ไทยอยู่ภายใต้อิทธิพลและการครอบงำของสหรัฐอย่างลึกซึ้งมาตั้งแต่หลังสงครามโลกคร้ังที่สอง แต่คนไทยส่วนมากเข้าใจผิดคิดว่าจีนครอบงำไทยในทุกด้าน ซึ่งเป็นเรื่องตรงข้าม เพราะว่าไปหลงเชื่อข่าวจีนเทาที่ไม่ได้มีผลอะไรมากต่อโครงสร้างของประเทศไทย
การเป็นบริวารประเทศของสหรัฐทำให้ไทยถูกกระทำในฐานะบริวารประเทศจริงๆจากการที่ทรัมป์กำหนดอัตราภาษีไทยที่36% ก่อนที่จะลดลงมาเหลือ19% จากก่อนหน้านี้อัตราภาษีเฉลี่ยแล้วไม่เกิน5% แต่ต้องแลกกับการที่ไทยต้องยอมเจรจาหยุดยิงกับกัมพูชาตามคำขู่ของทรัมป์และต้องยอมสูญเสียประโยชน์มากมายในการแลกเปลี่ยนกับสหรัฐในการลดภาษี
การถอยออกจากยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิคจะเป็นอีกก้าวย่างที่สำคัญของไทยในการปลดแอกจากลัทธิล่าอาณานิคมสมัยใหม่ และบาลานซ์เกมภูมิรัฐศาสตร์ของมหาอำนาจโลก
ก่อนหน้านี้ไทยได้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนของBRICSแล้ว ซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญที่สุดในไทยในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ในการเข้าร่วมกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนานำโดยจีน และรัสเซียเพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่ที่มีหลายขั้ว แทนที่จะอยู่ภายใต้โลกขั้วเดียวที่ถูกชี้นำโดยสหรัฐมาตลอดต้ังแต่หลังสงครามโลกคร้ังที่สอง
แต่จะหวังให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศคงจะยาก เพราะว่าที่ผ่านมารัฐบาลเกือบทุกยุคทุกสมัยเอาความมั่นคง หรือประเทศไปผูกกับสหรัฐและตะวันตกเกือบ100%เนื่องจากผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้า ทำให้ไทยไม่มีการกระจายความเสี่ยงในเรื่องภูมิรัฐสาสตร์ ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในขณะนี้ก็มาจากความล้มเหลวของนโยบายเดินตามก้นฝรั่งอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้นเอง
ได้เวลาแล้วที่ไทยต้องถอนตัวออกจากยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิค แล้วหันมาเน้นความร่วมมือเพิ่มขึ้นกับจีนหรือรัสเซียเพื่อบาลานซ์เกมการเมืองของมหาอำนาจโลก และให้ความใส่ใจในความร่วมมือกับกลุ่มBRICSเพื่อเปิดโอกาสการค้า การลงทุนในตลาดใหม่ เพราะว่าสหรัฐและตะวันตกกำลังอยู่ในช่วงขาลง จึงออกอาการดิ้นรนในความพยายามที่จะรักษาสถานภาพเดิมที่จะสร้างความเสี่ยงของWW3
By Thanong Khanthong
4/8/2025