.

"ตะวันตกอาจถึงคราวสิ้นสุดในรูปแบบที่เรารู้จัก"
15-5-2025
อเล็กซานเดอร์ ยาโคเวนโก รองผู้อำนวยการใหญ่ของกลุ่มสื่อ Rossiya Segodnya ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Sputnik สมาชิกสภาผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ของสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซีย และเอกอัครราชทูตพิเศษผู้มีอำนาจเต็ม เขียนบทความชื่อ: "ปี 2025: การเปลี่ยนแปลงของโลก"
โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนหลังสงครามเย็นและการล่มสลายของสหภาพโซเวียต โลกตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ได้ตีความชัยชนะในสงครามเย็นอย่างผิดพลาด โดยเชื่อว่ามันจะนำไปสู่การขยายอำนาจของตะวันตกไปทั่วโลกโดยอัตโนมัติ ความเข้าใจผิดนี้นำไปสู่นโยบายที่ผิดพลาด และความล้มเหลวในการปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงใหม่ของโลก
การขยายตัวของ NATO ไปทางตะวันออกโดยไม่รวมรัสเซีย และการเพิกเฉยต่อคำเตือนต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดความห่างเหินเพิ่มขึ้น และเป็นการปูทางไปสู่ความขัดแย้งใหม่ ๆ การที่ตะวันตกเชื่อว่ารัสเซียจะไม่มีวันกลับมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้งนั้น ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง โดยยูเครนได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของยุทธศาสตร์จำกัดอิทธิพลรัสเซียของตะวันตก
โลกหลังสงครามเย็นถูกกำหนดโดย "ช่วงเวลาแห่งมหาอำนาจเดียว" ซึ่งสหรัฐฯ กลายเป็นอภิมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียว แต่ก็ไม่มีการจัดทำนโยบายระยะยาวที่ชัดเจน ความล้มเหลวในการยอมรับแนวคิดพหุขั้วของโลก ตามที่นักคิดอย่างคิสซินเจอร์เสนอ ได้ทำให้นโยบายการทูตของอเมริกาอ่อนแอลง การขยายตัวของ NATO และนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอิรักและเซอร์เบีย ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์กับรัสเซียตึงเครียดมากขึ้น
โลกาภิวัตน์ ร่วมกับนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ในทศวรรษ 1980 ทำให้ภาคอุตสาหกรรมมุ่งแสวงหาตลาดแรงงานราคาถูกในต่างประเทศ ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียงานในประเทศตะวันตก ความล้มเหลวของตะวันตกในการปฏิรูประบบสถาบันโลก เช่น ระบบเบรตตันวูดส์ และการกีดกันมหาอำนาจที่กำลังเติบโตอย่างจีนและอินเดีย ออกจากเวทีโลก ได้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบระหว่างประเทศและทำให้พลาดโอกาสสำคัญ
สิ่งที่เรียกว่า "ลมหายใจที่สอง" ของการครองอำนาจของตะวันตกและทุนนิยม ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่มั่นคง และทิ้งผลกระทบด้านเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์อย่างยาวนาน
จุดจบของยุคเสรีนิยม: การยอมรับโลกพหุขั้วและการเปิดฉากกลยุทธ์เศรษฐกิจของทรัมป์
ความเฉื่อยชาของชนชั้นนำในโลกตะวันตกได้ทวีความรุนแรงให้กับความขัดแย้งภายในสังคม เป็นสัญญาณของวิกฤติเสรีนิยมและการเกิดขึ้นของแนวโน้มแบบเผด็จการ การเติบโตของแนวคิด “ชาตินิยมเสรี” (National-Liberalism) สะท้อนให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกับขบวนการเผด็จการในอดีต นอกจากนี้ นโยบายของรัฐบาลไบเดนที่ผลักดันวาระเสรีนิยมสุดโต่ง เช่น สิทธิของกลุ่ม LGBT ประเด็นของชนกลุ่มน้อย และการตีความวัฒนธรรมใหม่ ได้ท้าทายค่านิยมดั้งเดิม และจุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งทางวัฒนธรรมอย่างรุนแรง
ความตึงเครียดเหล่านี้เห็นได้ชัดเป็นพิเศษในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังเผชิญกับ “สงครามวัฒนธรรม” และวิกฤตอัตลักษณ์ทางสังคม ยุคอุดมการณ์ที่เริ่มต้นในปี 1914 ซึ่งประกอบด้วยสงครามโลกสองครั้ง และกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่โลกพหุขั้วอย่างยืดเยื้อ กำลังสิ้นสุดลง ผลพวงของสงครามเย็นเป็นช่วงเวลาแห่งอำนาจนำของโลกตะวันตก แต่การผงาดขึ้นของมหาอำนาจนอกตะวันตกในขณะนี้ กำลังส่งสัญญาณถึงระเบียบโลกใหม่ที่หลากหลายทางวัฒนธรรม ดังนั้น องค์การสหประชาชาติและกรอบงานด้านสิทธิมนุษยชนอาจจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปเพื่อให้สะท้อนความเปลี่ยนแปลงนี้
ขณะที่สหรัฐฯ กำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคการฟื้นฟูอุตสาหกรรม กลยุทธ์ของประเทศดูจะขัดแย้งกับบทบาทที่อ่อนแรงลงของ NATO นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) ของทรัมป์ มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ โดยจุดยืนของเขาเกี่ยวกับภาษีศุลกากรและกลยุทธ์ทางทหาร สะท้อนถึงการเปลี่ยนไปสู่ความพึ่งพาตนเองในระดับชาติมากขึ้น และการลดการพึ่งพาพันธมิตร เป้าหมายคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผ่านนโยบายการค้าที่เข้มข้น การลดหนี้สาธารณะ และการควบคุมแนวโน้มเศรษฐกิจโลกผ่านบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เช่น BlackRock
นโยบายของทรัมป์เน้นด้านภูมิเศรษฐศาสตร์ (geo-economics) แทนภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) แบบดั้งเดิม ซึ่งบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนผ่านจากการใช้กำลังทางทหารไปสู่การใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงนี้ได้รับแรงหนุนจากความล้มเหลวของโลกตะวันตกในยูเครน ความก้าวหน้าทางทหารของรัสเซีย และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นกับจีน ซึ่งทำให้สหรัฐฯ ต้องเตรียมบทบาทใหม่ในเวทีโลก ที่มุ่งเน้นไปที่อำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจมากกว่าการเผชิญหน้าด้วยกำลังทหาร
อนาคตจะเป็นเช่นไร?
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคตจะถูกกำหนดโดยการปะทะกันของแนวโน้มหลายประการ แหล่งที่มาหลักของความไม่แน่นอนอยู่ที่ "การปฏิวัติของทรัมป์" ซึ่งอาจเปลี่ยนสหรัฐอเมริกาให้กลายเป็น “โรงงานของโลก” โดยที่ประเทศอื่น ๆ ทำหน้าที่เป็นผู้จัดหาทรัพยากรให้ สหรัฐฯ หลังจากผ่านยุคทดลองทางเสรีนิยมสุดโต่ง ยังคงมีอนาคตที่ไม่แน่นอน
กลุ่มประเทศโลกใต้ โดยเฉพาะกลุ่ม BRICS+ ต่อต้านแผนการนี้ และสนับสนุนระเบียบโลกแบบพหุขั้ว รวมถึงการพัฒนาระบบเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งอาจเป็นการท้าทายต่อสถาบันที่อยู่ภายใต้การควบคุมของโลกตะวันตก เช่น IMF และ WTO
การเปลี่ยนผ่านจาก “การแข่งขันทางอาวุธ” ไปสู่ “การแข่งขันเพื่อการพัฒนา” จะให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์ โดยมีสุขภาพ การศึกษา และวัฒนธรรมเป็นหัวใจสำคัญ หากรัสเซียได้รับชัยชนะในยูเครน บทบาทของกำลังทหารในเวทีโลกอาจลดลง
การเสื่อมถอยของโลกตะวันตกในเชิงประวัติศาสตร์ อาจนำไปสู่การสลายตัวของสหภาพยุโรป และการจัดระเบียบการเมืองของยุโรปขึ้นใหม่ ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นการกลับมาของชนชั้นนำระดับชาติ ความตึงเครียดภายในประเทศตะวันตก รวมถึงในสหรัฐฯ เอง ก็อาจเกิดขึ้นตามมา
ท้ายที่สุด ความท้าทายระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะได้รับการแก้ไขในระดับภูมิภาค โดยอาศัยแนวร่วมความร่วมมือที่อาจปูทางไปสู่การบริหารจัดการโลกในอนาคต
ที่มา สปุ๊ตนิก