ปูตินเมินคำขู่ทรัมป์ ยืนกรานเป้าหมายยึดยูเครน

ปูตินเมินคำขู่ทรัมป์ ยืนกรานเป้าหมายยึดยูเครน 4 แคว้นเต็มรูปแบบ
6-8-2025
Reuters รายงานว่า แหล่งข่าวใกล้ชิดเครมลินเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) ว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน (Vladimir Putin) ไม่คาดว่าจะยอมรับคำขู่อัลติเมทัมคว่ำบาตรของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ซึ่งกำลังจะหมดอายุในวันศุกร์นี้ พร้อมระบุว่าปูตินยังตั้งเป้าหมายยึดครอง 4 แคว้นสำคัญของยูเครนจนได้ครบถ้วน
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ขู่จะออกมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อรัสเซีย และเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศที่ซื้อพลังงานจากรัสเซีย 100% โดยเฉพาะจีนและอินเดีย หากปูตินไม่ยอมประกาศหยุดยิงในสงครามยูเครน
แหล่งข่าวระบุว่า แรงจูงใจที่ปูตินยังเดินหน้ารบ มาจากความเชื่อว่ารัสเซียกำลังได้เปรียบในสนามรบ และเชื่อว่าวงจรคว่ำบาตรใหม่ของสหรัฐฯ จะไม่สร้างผลกระทบมากนัก หลังถูกลงโทษซ้ำๆ ตลอดกว่า 3 ปีครึ่งของสงคราม สองแหล่งข่าวชี้ว่าปูตินเองก็ไม่ต้องการขัดแย้งกับทรัมป์ และเข้าใจดีว่านี่อาจเป็นโอกาสปรับปรุงความสัมพันธ์กับวอชิงตันกับฝั่งตะวันตก แต่สุดท้ายเป้าหมายสงครามยังสำคัญสูงสุด
หนึ่งในแหล่งข่าวเผยว่า ปูตินต้องการยึดครองภูมิภาคดอแนตสค์ (Donetsk), ลูฮันสค์ (Luhansk), ซาโปริซเซีย (Zaporizhzhia) และเคอร์ซอน (Kherson) ได้โดยสมบูรณ์ ก่อนเปิดโต๊ะเจรจาสันติภาพ “หากปูตินสามารถยึดทั้งสี่แคว้นได้หมด เขาสามารถอ้างว่าสำเร็จวัตถุประสงค์สงครามยูเครนแล้ว” เจมส์ รอดเจอร์ส (James Rodgers) นักเขียนหนังสือ “The Return of Russia” ที่จะออกวางจำหน่ายเร็วๆ นี้ กล่าว
การเจรจาระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้ว 3 ครั้งนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เป็นความพยายามของมอสโกในการแสดงให้ทรัมป์เห็นว่าปูตินไม่ได้ปฏิเสธทางเลือกสันติภาพ อย่างไรก็ดี การหารือยังคงเน้นประเด็นแลกเปลี่ยนเชิงมนุษยธรรมเป็นหลัก มากกว่าการถกสาระสำคัญเรื่องข้อยุติสงคราม
รัสเซียยังคงระบุว่ามุ่งมั่นจะออกข้อตกลงสันติภาพระยะยาว แต่ยอมรับว่าความแตกต่างในจุดยืนทั้งสองฝ่ายยังห่างไกลและซับซ้อน ปูตินเพิ่งกล่าวว่าการเจรจามีทิศทางบวก ขณะที่ข้อเสนอฝั่งมอสโก เช่น การให้ยูเครนถอนทหารออกจากทั้งสี่แคว้นและยอมรับสถานะเป็นกลาง รวมถึงจำกัดศักยภาพกองทัพ กลับถูกยูเครนปฏิเสธ
ขณะที่มองว่ายังมีโอกาสบรรลุข้อตกลงก่อนถึงเส้นตาย ล่าสุด สตีฟ วิตคอฟฟ์ (Steve Witkoff) ทูตพิเศษของทรัมป์ เตรียมเดินทางเยือนรัสเซีย ภายหลังวาทกรรมระหว่างทรัมป์กับผู้นำมอสโกเน้นย้ำความเสี่ยงสงครามนิวเคลียร์ โดยเมื่อวันจันทร์ รัสเซียเพิ่งประกาศยกเลิกการยึดตามข้อตกลงระงับทดสอบขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยใกล้และกลาง
โฆษกเครมลินปฏิเสธแสดงความคิดเห็นกับรอยเตอร์ต่อประเด็นนี้ ขณะที่แหล่งข่าวทั้งหมดยืนยันขอสงวนนามจากความอ่อนไหวของสถานการณ์
ในขณะที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ที่ผ่านมาเคยยกย่องปูตินและสนับสนุนความร่วมมือธุรกิจระหว่างสองชาติ ล่าสุดกลับแสดงความไม่พอใจต่อท่าทีของผู้นำรัสเซีย โดยเรียกการโจมตีทางอากาศของรัสเซียในกรุงเคียฟและเมืองอื่นๆ ว่า “น่ารังเกียจ” และวิจารณ์ท่าทีของปูตินอย่างรุนแรง
เครมลินระบุเพียงว่ารับทราบถ้อยแถลงของทรัมป์แต่ขอไม่โต้ตอบ
ขณะเดียวกัน ยูเลีย สวีรีเดนโก (Yulia Svyrydenko) นายกรัฐมนตรียูเครน เรียกร้องให้ทั่วโลกใช้ “แรงกดดันสูงสุด” ตอบโต้รัสเซีย หลังการโจมตีทางอากาศที่กรุงเคียฟ ซึ่งถือเป็นการโจมตีครั้งรุนแรงที่สุดปีนี้ คร่าชีวิตประชาชนอย่างน้อย 31 ราย รวมถึงเด็ก 5 คน ยูเครนชี้ว่าการโจมตีนี้คือการตอบโต้อัลติเมทัมของทรัมป์โดยตรง
ด้านอันนา เคลลี (Anna Kelly) โฆษกทำเนียบขาว ย้ำว่า “ปธน.ทรัมป์ต้องการเห็นความรุนแรงยุติลงโดยเร็ว จึงเร่งขายอาวุธผลิตในอเมริกาแก่ชาติสมาชิก NATO และขู่ใช้มาตรการคว่ำบาตรทันทีหากรัสเซียไม่ยอมตกลงหยุดยิง”
สถานการณ์แนวหน้า ข้อมูลจากแหล่งข่าวชี้ว่า ปูตินแม้จะมีความกังวลต่อความเสื่อมถอยของความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แต่ยังคงหวังฟื้นสัมพันธ์มิตรภาพและการค้ากับตะวันตกในอนาคต อย่างไรก็ตาม ด้วยกองทัพรัสเซียยังรุกคืบ ยึดพื้นที่สำคัญได้อีกในปีนี้ ปูตินจึงเห็นว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลายุติสงคราม พร้อมเชื่อว่าทั้งประชาชนและกองทัพจะไม่เข้าใจหากยุติการสู้รบในสถานการณ์ที่เปรียบเช่นปัจจุบัน
เจมส์ รอดเจอร์ส นักวิเคราะห์ ระบุว่า ปูตินลงทุนเดิมพันภาพลักษณ์และศักดิ์ศรีทางการเมืองกับสงครามยูเครน พร้อมตอกย้ำว่า “ปูตินมองตนเองในฐานะผู้นำที่ต่อต้านตะวันตกและปกป้องผลประโยชน์รัสเซียตามแนวคิดของตนเสมอมา” แหล่งข่าวรัสเซียอีกรายมองว่า ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับทรัมป์ยังมีความหมายต่อผู้นำเครมลิน แต่ “สุดท้ายเป้าหมายสูงสุดคือชัยชนะในสงคราม ยูเครน”
แหล่งข่าวอีกคนหนึ่งจากรัสเซียย้ำว่าฝ่ายรัสเซียต้องการยึดทั้งสี่แคว้นโดยสมบูรณ์ และมองว่าไม่มีเหตุผลจะยุติปฏิบัติการขณะที่ยังได้รับชัยชนะต่อเนื่องในฤดูร้อนนี้
ตามข้อมูลของ Black Bird Group ศูนย์วิเคราะห์การทหารจากฟินแลนด์ พบว่ายูเครนเสียพื้นที่กว่า 502 ตารางกิโลเมตรในเดือนกรกฎาคม รวมตลอดสงครามรัสเซียยึดได้ประมาณ 1 ใน 5 ของยูเครน ซึ่งสอดคล้องกับรายงาน Center for Strategic and International Studies (CSIS) จากสหรัฐฯ ที่ระบุว่าตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว รัสเซียยึดพื้นที่สำคัญได้เพิ่มอีกเพียง 5,000 ตารางกิโลเมตร หรือไม่ถึง 1% ของพื้นที่ยูเครนทั้งหมด
ทั้งนี้ ฝ่ายทหารและแหล่งข่าวตะวันตกยอมรับว่ารัสเซียมีความคืบหน้าแต่ต้องแลกกับความสูญเสียจำนวนมาก ขณะที่บล็อกเกอร์ทหารรัสเซียเผยว่าทัพมอสโกยังได้เปรียบในบางแนวรบ แม้เจอภูมิประเทศท้าทายและแนวเมืองที่ยูเครนได้รับประโยชน์
แหล่งข่าวรัสเซียรายที่สองประเมินว่า มาตรการขู่คว่ำบาตรและภาษีของทรัมป์ แม้จะ “เจ็บปวดและไม่น่าพอใจ” แต่ไม่ถึงขั้นหายนะ ขณะที่แหล่งข่าวอีกรายชี้ว่ารัสเซียแทบไม่เหลืออะไรให้สหรัฐฯ คว่ำบาตรเพิ่มเติมอีกแล้ว พร้อมเตือนว่า ไม่น่าจะเกิดกรณีจีนยอมหยุดซื้อน้ำมันรัสเซียเพราะคำขู่จากทรัมป์ ตรงกันข้ามอาจทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น
ผลจากมาตรการคว่ำบาตรรอบที่ผ่านๆ มา ส่งผลให้รายได้ผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซรัสเซียลดลงหนัก และการลงทุนตรงจากต่างประเทศในประเทศร่วงกว่า 63% ในปีที่ผ่านมา ตามข้อมูลสหประชาชาติ ทรัพย์สินธนาคารกลางรัสเซียราว 300,000 ล้านดอลลาร์ถูกอายัดในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม รัสเซียยังคงเดินหน้าผลิตและส่งกำลังรบต่อไปได้จากแหล่งกระสุนที่ได้รับจากเกาหลีเหนือและการนำเข้าชิ้นส่วนสำหรับการผลิตอาวุธจากจีน ทำให้การผลิตอาวุธรัสเซียเติบโตขึ้นอย่างมาก โดยเครมลินยืนยันมาโดยตลอดว่ารัสเซีย “มีภูมิคุ้มกัน” ต่อมาตรการคว่ำบาตร
โดนัลด์ ทรัมป์ ยังยอมรับเองว่ารัสเซียหลบเลี่ยงมาตรการเหล่านี้ได้เก่ง โดยกล่าวกับสื่อเมื่อล่าสุดว่า “พวกเขาเล่นแง่เก่งและชำนาญเรื่องหลบคว่ำบาตร เอาไว้คอยดูกันว่าคำขู่ของผมจะสำเร็จไหม”
แหล่งข่าวรายแรกยังเผยอีกว่าปูตินได้ปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐฯ เมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งเสนอให้สหรัฐฯ ยกเลิกการคว่ำบาตร หากรัสเซียยอมหยุดยิงเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งรับรองอำนาจอธิปไตยของรัสเซียเหนือดินแดนคริมเมีย และรับรองอำนาจรัสเซียเหนือพื้นที่ยึดครองหลังปี 2022 แหล่งข่าวระบุว่านี่คือโอกาสครั้งสำคัญ แต่การยุติสงครามนั้นยากกว่าการเริ่มต้น
Reporting by Darya Korsunskaya and Andrew Osborn; Additional reporting by Nandita Bose; Writing by Mark Trevelyan; Editing by Frank Jack Daniel
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.reuters.com/world/europe/putin-doubts-potency-trumps-ultimatum-end-war-sources-say-2025-08-05/