ความคลั่งไคล้ 'ทองคำ' จะดำเนินต่อไปอีกนานแค่ไหน?
ความคลั่งไคล้ 'ทองคำ' จะดำเนินต่อไปอีกนานแค่ไหน?
15-11-2025
Financial Times รายงานเชิงวิเคราะห์ว่า กระแสความคลั่งไคล้ทองคำกำลังปกคลุมตลาดทั่วโลก ทั้งนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อยเร่งเข้าซื้อโลหะมีค่าชนิดนี้ จนผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงความเสี่ยงฟองสบู่ในตลาดทองคำ หลังราคาทองคำทะยานขึ้นกว่า 50% ในปี 2025 แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ซึ่งถือเป็นปีที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ ปี 1979
เพียงชั่วโมงเดียวหลังร้านจำหน่ายทอง Nihon Material ในกรุงโตเกียวเปิดขาย ผู้ซื้อใหม่จำนวนมากก็ถูกปฏิเสธเนื่องจากสินค้าขาดมือ เคนจิ โอนูกิ ( Kenji Onuki ) ผู้อำนวยการบริษัทสถาปัตยกรรมวัย 40 ปี กล่าวด้วยความดีใจหลังได้ครอบครองทองคำแท่งชิ้นแรก แม้ต้องรอรับของอีกหนึ่งเดือน “ผมคิดว่าการมีบางสิ่งที่จับต้องได้จริงนั้นสำคัญ” เขากล่าว
แรงซื้อของนักลงทุนหน้าใหม่ทั่วโลกสะท้อนกระแสความนิยมในสินทรัพย์ปลอดภัย หลังธนาคารกลางหลายประเทศเร่งสะสมทองคำต่อเนื่องสามปี ดึงดูดความสนใจจากทั้งนักลงทุนสถาบันและประชาชนทั่วไป ซึ่งในบางประเทศนอกเหนือจากตลาดขาประจำอย่างอินเดียและตุรกี ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญก็พุ่งสูงเช่นกัน
ญี่ปุ่นกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางใหม่ของกระแส “Gold Rush” หลังราคาทองคำภายในประเทศทะลุ 20,000 เยนต่อกรัมเมื่อสองสัปดาห์ก่อน จุดชนวนความตื่นตัวครั้งใหญ่ในสื่อท้องถิ่น ราคาทองพุ่งกว่า 19% นับจากต้นเดือนกันยายนโดยไม่มีตัวแปรทางเศรษฐกิจชัดเจนรองรับ ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมองว่านี่คือสัญญาณของ “ภาวะคลั่งทอง”
เกร็ก ฟริทธ์ (Greg Frith) หัวหน้าฝ่ายซื้อขายทองคำของบริษัท Gunvor ประเทศสวิตเซอร์แลนด์กล่าวว่า “ทุกคนกำลังรอจังหวะพักฐาน แต่ทุกครั้งที่ราคาย่อตัว แรงซื้อจากสถาบันก็ไหลทะลักเข้ามาอีกระลอก”
ปัจจัยขับเคลื่อนหลักตั้งแต่ปี 2022 คือการเข้าซื้อทองคำในระดับสูงสุดของธนาคารกลาง โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐ เมื่อรวมกับการไหลเข้าของเงินทุนมูลค่า 26 พันล้านดอลลาร์ในกองทุน ETF ที่อ้างอิงทองคำในไตรมาสสาม ส่งผลให้ Société Générale ประเมินว่าราคาทองอาจแตะ 5,000 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ได้ในไม่ช้า
ความกังวลต่อโลกที่ไม่แน่นอนและหนี้สินล้นตัวของประเทศพัฒนาแล้ว เป็นแรงขับให้ทองคำถูกมองเป็นที่หลบภัยแห่งเดียวจากความผันผวน เดวิด เทต (David Tait) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร World Gold Council กล่าวว่า “แรงซื้อทั่วโลกขับเคลื่อนด้วยความกลัวการล่มสลายทางการเงินหรือภาวะหนี้พุ่งจนควบคุมไม่ได้” เขายอมรับว่าการพุ่งขึ้นครั้งนี้ “บางช่วงก็สวนเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์อย่างสิ้นเชิง”
ขณะที่นักลงทุนบางส่วนเริ่มสงสัยว่ากระแสจะสิ้นสุดเมื่อใด เทรเวอร์ กรีธัม (Trevor Greetham) หัวหน้าฝ่ายสินทรัพย์ผสม Royal London Asset Management กล่าวว่า “มันดูดีเกินจริง แต่เราก็ยังเพิ่มการถือครองทองคำ เพราะผู้คนมองว่าทองช่วยป้องกันความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ การคลัง และ Trump ได้ดี”
นักลงทุนบางรายเรียกกระแสนี้ว่า “ debasement trade ” ซึ่งสะท้อนการป้องกันความเสี่ยงระยะยาวต่อการปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งในหลายประเทศ จนทำให้มูลค่าพันธบัตรรัฐบาลลดลง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ แรงกดดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่ต้องการให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดดอกเบี้ยเพื่อลดภาระชำระหนี้ ทำให้นักลงทุนกังวลต่อความเป็นอิสระของ Fed และเร่งเข้าซื้อทองคำมากขึ้น การแต่งตั้งที่ปรึกษาทำเนียบขาว สตีเฟน มีแรน (Stephen Miran) เข้าสู่คณะกรรมการ Fed และคดีว่าทรัมป์มีอำนาจถอด ลิซา คุก (Lisa Cook) ได้หรือไม่นั้น ยิ่งเพิ่มแรงเก็งกำไรให้กับทองคำอย่างเห็นได้ชัด
เทตจาก World Gold Council ระบุว่า หากระดับหนี้ของสหรัฐฯ ลดลง ราคาทองอาจชะลอ แต่ขณะนี้ปัจจัยหนุนยังมีมากกว่า 10 ประการ “สิ่งเดียวที่จะทำให้ราคาย้อนกลับได้ คือทรัมป์โชคดีเจอสถานการณ์เงินเฟ้อต่ำกับเศรษฐกิจโตแรง” เขากล่าว
รูธ โครเวลล์ (Ruth Crowell) ประธานบริหาร London Bullion Market Association เสริมว่า “การโจมตี Lisa Cook เพียงครั้งเดียวสร้างแรงดีดราคาทองทันที หากสถานะของเธอใน Fed ชัดเจน ตลาดอาจสงบลง”
อีกปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้ราคาทองชะลอคือการขายทองของบางธนาคารกลางเพื่อรักษาสัดส่วนสินทรัพย์สำรอง หลังมูลค่าทองที่เพิ่มขึ้นเร็วทำให้สัดส่วนถือครองพุ่งสูงอย่างมาก
แม้หลายฝ่ายยังไม่อาจชี้ชัดว่าตลาดทองเข้าภาวะฟองสบู่หรือไม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการเคลื่อนไหวของราคาปัจจุบันเหนือค่าเฉลี่ย 200 วันกว่า 20% และเหนือเฉลี่ย 200 สัปดาห์กว่า 70% เกิดขึ้นเพียงสามครั้งในประวัติศาสตร์ ก่อนจะตามด้วยการปรับฐาน 20–33% ทุกครั้งตามข้อมูลของ Bank of America
กระแสคาดการณ์การลดดอกเบี้ยทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะลด 4 ครั้งภายในปีหน้า ท่ามกลางเงินเฟ้อ 2.7% และนโยบายการคลังแบบผ่อนคลาย กำลังหนุนราคาทองเพิ่มเติม แดน เทย์เลอร์ (Dan Taylor) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Man Numeric กล่าวว่า “เรากำลังอยู่ในภาวะขาดดุลโครงสร้างครั้งใหญ่ในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น นักลงทุนจึงพยายามปกป้องทุนโดยถือสินทรัพย์ที่ไม่ใช่กระดาษ เช่น ทอง หรือแม้แต่ Bitcoin”
สัญญาณ “ Fiscal Dominance ” ที่รัฐบาลกดดันธนาคารกลางเรื่องอัตราดอกเบี้ยกำลังชัดเจนขึ้นทั่วโลก ซาเนะ ทาคาอิจิ (Sanae Takaichi) หัวหน้าพรรค LDP ของญี่ปุ่น ก็ถูกคาดว่าจะกดดัน Bank of Japan ไม่ให้ขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไป
ด้าน แมตต์ แม็คลินแนน (Matt McLennan) จาก First Eagle ระบุว่า “การที่ทองขึ้นพร้อมหุ้นสะท้อนว่าค่าของเงินกำลังลดลง” ขณะที่ข้อมูลพันธบัตรระยะยาวชี้ว่าตลาดยังไม่คาดเงินเฟ้อหลุดการควบคุมของ Fed ซึ่งหมายความว่ายังไม่ใช่กรณีฐานหลักของตลาด
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ปะทุขึ้นอีกครั้งหลังวันหยุดยาวของจีน เป็นอีกแรงส่งให้ทองคำพุ่งแรง ไมเคิล เฮก (Michael Haigh) หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินค้าโภคภัณฑ์ Société Générale เตือนว่าภาวะ “Fomo” อาจทำให้ตลาดอ่อนไหวและเข้าสู่การปรับฐานรุนแรงได้ง่าย
ความผันผวนดังกล่าวทำให้เครื่องมือดั้งเดิมในการประเมินมูลค่าทอง เช่น อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (real rates) เริ่มสูญเสียความสัมพันธ์เดิมกับราคา แต่ความสัมพันธ์ผกผันระหว่างทองกับค่าเงินดอลลาร์ยังคงอยู่ ปีนี้ดอลลาร์อ่อนค่ามากที่สุดตั้งแต่ 2017 จากความกังวลต่อความเป็นอิสระของ Fed และการคาดการณ์ลดดอกเบี้ย ทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดนับจากทศวรรษ 1970
ข้อมูลของ World Gold Council ชี้ว่ามูลค่าทองคำในทุนสำรองธนาคารกลางทั่วโลกขยับขึ้นจาก 10% เป็น 24% ในรอบสิบปี และ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน การถือครองทองรวม 29,998.4 ตัน มีมูลค่าสูงกว่าการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ของต่างชาติเป็นครั้งแรกที่ราว 3.93 ล้านล้านดอลลาร์
การผลิตทองซึ่งเพิ่มได้จำกัดในระยะสั้น ทำให้ซัพพลายแทบไม่ขยายในสามปีข้างหน้า แต่ราคาที่ทะยานขึ้นได้กระตุ้นให้เหมืองขนาดเล็กและกลุ่มอาชญากรรมในอเมริกาใต้กับแอฟริกาใต้เพิ่มการผลิต แม้ยังไม่มีตัวเลขประเมินชัดเจน
ความต้องการระดับผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างมากที่ Royal Mint สหราชอาณาจักร โดยยอดขายเดือนล่าสุดทำสถิติสูงสุด รวมถึงคำสั่งซื้อชุดทองและเหรียญเงินมูลค่ากว่า 50 ล้านปอนด์ นิโคลา มิตเชลล์ (Nicola Mitchell) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ Royal Mint ระบุว่านี่คือ “ช่วงประวัติศาสตร์ของตลาดโลหะมีค่า”
กระแสนี้ยังลามไปถึงโลหะเงิน (Silver) ซึ่งพุ่งทำสถิติใหม่ที่กว่า 52 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเริ่มขาดแคลนโลหะจริงในตลาดลอนดอน เว็บไซต์ Royal Mint ถึงขั้นขายหมดสต็อกเหรียญ Britannia ขนาด 1 ออนซ์ ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนรายย่อยซึ่งไม่อาจเข้าถึงทองได้
ข้อมูลของ World Gold Council ระบุว่า ความต้องการซื้อทองแท่งและเหรียญทั่วโลกเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 1,186.3 ตัน คิดเป็นราว หนึ่งในสี่ของอุปสงค์ทองทั้งหมด และปีนี้ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ในตุรกี ซึ่งทองคิดเป็น 20% ของความมั่งคั่งครัวเรือน ราคาที่พุ่งขึ้นยังช่วยหนุนการบริโภคเพราะประชาชนรู้สึกมั่งคั่งขึ้น ขณะที่ในฮ่องกง ครอบครัวที่สะสมทองมานานหลายทศวรรษเร่งขายเพื่อทำกำไร ส่วนในญี่ปุ่น Tanaka Precious Metals ต้องระงับการขายทองคำแท่งและแพลทินัมขนาดเล็กชั่วคราวเพราะความต้องการล้นตลาด
บรูซ อิเคมิสึ (Bruce Ikemizu) ผู้อำนวยการสมาคม Japan Bullion Market กล่าวว่า “พฤติกรรมของนักลงทุนเปลี่ยนไป 180 องศา ผู้คนรู้สึกถึงภาวะเงินเฟ้อและค่าเงินเยนที่อ่อนลง พวกเขาตระหนักว่าการไม่ทำอะไรเลยทำให้มูลค่าเงินลดลง”
สำหรับประเทศที่เคยเผชิญภาวะเงินฝืดต่อเนื่องสามทศวรรษ ญี่ปุ่นกำลังเผชิญเงินเฟ้อเกิน 2% ติดต่อกันสามปี ผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์วัย 61 ปี นายโคบายาชิ (Kobayashi) ซึ่งเริ่มซื้อทองตั้งแต่สามปีก่อน กล่าวว่า เขามาที่ Nihon Material เพื่อประเมินทิศทางตลาดว่าจะซื้อเพิ่มหรือขายออก “ช่วงนี้ราคาพุ่งรุนแรงมาก ผมอยากสัมผัสด้วยตัวเองว่า มันยังไปต่อได้แค่ไหน” เมื่อเห็นแรงซื้อต่อเนื่องและการสะสมทองของธนาคารกลางจีน เขาตัดสินใจ “คงต้องถือไว้ต่อไปจะดีกว่า”
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.ft.com/content/34017e72-9085-4808-9281-1b09614bdf0e