การพุ่งขึ้นรุนแรงของราคาเงินกำลังพลิกโฉมตลาดกระทิง
“การพุ่งขึ้นรุนแรงของราคาเงินกำลังพลิกโฉมตลาดกระทิงโลหะมีค่า”
1-12-2025
มีการเขียนวิเคราะห์มากมายเกี่ยวกับตลาดกระทิงของทองคำและปัจจัยพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสามปีที่ผ่านมา แต่ตลอดช่วงเวลานั้น สิ่งหนึ่งที่หายไปเกือบตลอดคือ—เงิน (silver)
ทองคำได้แยกตัวจากกลุ่มโลหะมีค่าชนิดอื่น เนื่องจากบทบาทของมันในฐานะโลหะที่เป็น “เงินตราที่แท้จริง” ธนาคารกลางทั่วโลกเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่พวกเขาต้องการลดการพึ่งพาสกุลเงินกระดาษและหันไปถือสินทรัพย์ที่มั่นคงและจับต้องได้มากกว่า เงิน ซึ่งมีความผันผวนสูง ไม่ตอบโจทย์สำหรับผู้ถือสินทรัพย์ภาคทางการเช่นนั้น
ความต้องการทองคำที่พุ่งขึ้นเพียงกลุ่มเดียวนี้ ได้ผลักดันอัตราส่วนทองคำต่อเงินไปสู่ระดับสุดขั้ว ในเดือนเมษายน ตัวเลขพุ่งขึ้นเหนือระดับ 100—สูงสุดในรอบห้าปี และห่างไกลจากค่าเฉลี่ยระยะยาวที่อยู่ระหว่างประมาณ 50 ถึง 60
นักวิเคราะห์บางคนโต้แย้งว่า การที่เงินไม่ได้ร่วมขึ้นราคาด้วยกลับทำให้นักลงทุนโดยรวมสนใจทองคำน้อยลง เพราะในตลาดกระทิงตามแบบฉบับ เงินมักจะแสดงผลงานดีกว่า เนื่องจากความผันผวนสูง แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เงินกลับตามหลังมาหลายปี ทำให้เกิดเงาแห่งความสงสัยปกคลุมการลงทุนในโลหะมีค่าทั้งหมด
แต่มุมมองที่เต็มไปด้วยความสงสัยนั้นกำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ราคาเงินปิดสัปดาห์ด้วยระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่มากกว่า 56 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นถึง 97% ตั้งแต่เดือนมกราคม ขณะที่ทองคำกำลังทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 4,200 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 61% ตั้งแต่ต้นปี
อัตราส่วนระหว่างโลหะทั้งสอง ซึ่งเคยพุ่งแตะ 100 ในเดือนเมษายน ได้ดิ่งลงสู่ระดับ 74 ทำลายเส้นแนวรับระยะยาว และนักวิเคราะห์บางรายมองว่าแรงโมเมนตัมอาจดันอัตราส่วนกลับลงไปถึงระดับ 50 ได้อีกครั้ง หากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่คาดการณ์ว่าทองคำจะถึง 5,000 ดอลลาร์ภายในปี 2026 คิดถูก นั่นหมายความว่าเงินจะอยู่ที่ราว ๆ 100 ดอลลาร์
อะไรเปลี่ยนไป? นักลงทุนเริ่ม “ตื่นรู้” แล้วว่าเงินกำลังขาดแคลนมากเพียงใด
ความต้องการอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับการผลักดันโลกสู่ระบบไฟฟ้า (electrification) อย่างรวดเร็ว ได้สร้างภาวะขาดดุลซัพพลายที่รุนแรงต่อเนื่องเป็นปีที่ห้า สต็อกเงินที่อยู่เหนือพื้นดินถูกใช้ไปมาก และโลหะที่ยังมีอยู่ก็มักจะอยู่ในรูปแบบที่ไม่เหมาะสมหรืออยู่ผิดที่ การไม่สมดุลนี้ได้จุดชนวนให้เกิดช็อกด้านอุปทานหลายระลอกในปี 2025
เราเห็นแรงกระแทกลูกใหญ่ครั้งแรกช่วงต้นปี เมื่อปริมาณเงินมหาศาลไหลเข้าสหรัฐฯ เพราะเทรดเดอร์เตรียมรับความเป็นไปได้ของการจัดเก็บภาษีภายใต้นโยบายการค้าระดับโลกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สุดท้ายแล้วเงินไม่ได้ถูกเก็บภาษี แต่ความกลัวก็ไม่เคยหายไป—โดยเฉพาะหลังจากวอชิงตันประกาศอย่างเป็นทางการว่าเงินเป็น “โลหะสำคัญ” (critical metal)
โลหะส่วนเกินทั้งหมดที่มากองอยู่ในสหรัฐฯ ทำให้สต็อกเงินในที่อื่นตึงตัวมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดลอนดอนแบบ OTC การซื้ออย่างแข็งแกร่งจากอินเดียยิ่งเพิ่มแรงกดดัน ส่งผลให้ค่าเช่าเงิน (lease rates) และค่าพรีเมียมทั่วโลกพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
มีเงินบางส่วนไหลออกจากสหรัฐฯ และจีน เมื่อเทรดเดอร์ไล่ตามพรีเมียมที่สูงลิ่วเหล่านั้น แต่ความต้องการที่เพิ่มขึ้นในเอเชียกลับยิ่งทำให้วิกฤตซัพพลายรุนแรงขึ้น รายงานระบุว่าสต็อกที่ตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ตกลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบสิบปีแล้ว
เงินอาจไหลออกจากห้องนิรภัยในสหรัฐฯ ได้ แต่นั่นก็เพียงแค่จะย้ายวิกฤตขาดแคลนรอบถัดไปไปยังฝั่งตะวันตกเท่านั้น
ด้วยความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น และไม่เห็นทางออกด้านซัพพลายที่ง่ายในอนาคต นักวิเคราะห์ระบุว่า ความแข็งแกร่งครั้งใหม่ของเงินอาจไม่ใช่แค่การพุ่งขึ้นระยะสั้น สำหรับตอนนี้ โลหะชนิดนี้ดูเหมือนจะได้ก้าวขึ้นสู่เวทีกลาง—ในตำแหน่งที่มันรอคอยมาอย่างยาวนาน
ที่มา Kitco News