สหรัฐฯ ประกาศ ‘เฟนทานิลเป็นอาวุธทำลายล้างสูงสุด’
สหรัฐฯ ประกาศ ‘เฟนทานิลเป็นอาวุธทำลายล้างสูงสุด’ เปรียบใกล้เคียงอาวุธเคมี เปิดช่องใช้กำลังทหารรับมือ เพิ่มแรงกดดัน จีน-ละตินอเมริกา
22-12-2025
SCMP รายงานว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) แห่ง สหรัฐฯ (US) ได้ลงนามในคำสั่งบริหารเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้ "เฟนทานิล" (Fentanyl) ซึ่งเป็นยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์สังเคราะห์ที่มีฤทธิ์รุนแรงและผิดกฎหมาย มีสถานะเป็น "อาวุธทำลายล้างสูง" (Weapon of Mass Destruction - WMD) โดยระบุว่ายาเสพติดชนิดนี้มีคุณลักษณะใกล้เคียงกับ "อาวุธเคมี" มากกว่าสารเสพติดทั่วไป ซึ่งความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการขยายเครื่องมือทางนโยบายของวอชิงตันที่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับ ประเทศจีน (China) ในระยะยาว
คำสั่งบริหารดังกล่าวเน้นย้ำถึงภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติที่เกิดจากเครือข่ายค้ายาเสพติดและกลุ่มคาร์เทล โดยระบุว่ากิจกรรมของกลุ่มเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับการก่อการร้าย และเตือนถึงความเป็นไปได้ที่เฟนทานิลจะถูกนำไปใช้เป็นอาวุธในการก่อการร้ายครั้งใหญ่ พร้อมทั้งระดมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เข้ามาร่วมแก้ไขปัญหานี้อย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่ฝั่ง ประเทศแคนาดา (Canada) โดย เควิน บรอสโซ (Kevin Brosseau) ทูตพิเศษด้านเฟนทานิล ได้แสดงความประสงค์ที่จะร่วมมือกับ จีน (China) อย่างใกล้ชิดเพื่อสกัดกั้นสารตั้งต้นก่อนที่จะถึงอเมริกาเหนือ โดยระบุว่าความร่วมมือนี้ไม่ใช่การฟ้องร้องรัฐบาลจีนโดยตรง
แม้ในคำสั่งของทรัมป์จะไม่ได้ระบุชื่อ จีน (China) อย่างเป็นทางการ แต่ จีน (China) มักถูกวอชิงตันกล่าวหาว่าเป็นแหล่งที่มาสำคัญของสารตั้งต้นเฟนทานิลมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม โทนี่ จ้าว ซิ่วเย่ (Tony Zhao Xiuye) นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮ่องกง (University of Hong Kong) มองว่าคำสั่งนี้อาจไม่ส่งผลเสียต่อจีนเสมอไป หากความร่วมมือในการปราบปรามยาเสพติดสามารถสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองให้แก่ทรัมป์ในการเลือกตั้งกลางเทอมปีหน้าได้ แต่ในระยะยาวมีความเสี่ยงที่ประเด็นเฟนทานิลจะถูกนำมาใช้เป็น "แพะรับบาป" อีกครั้งหากเกิดวิกฤตครั้งใหม่ในอนาคต ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง จีน-สหรัฐฯ ตึงเครียดขึ้น
ภายใต้กฎหมายของ สหรัฐฯ (US) นิยามของอาวุธทำลายล้างสูงนั้นครอบคลุมทั้งอาวุธเคมี ชีวภาพ นิวเคลียร์ และระเบิดรุนแรง ซึ่งการใช้ตราสัญลักษณ์ WMD นี้ในอดีตเคยเป็นเหตุผลสำคัญในการเปิดปฏิบัติการทางทหารขนาดใหญ่ เช่น การบุกอิรักในปี 2003 โดยรัฐบาลของ จอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W. Bush) ในปัจจุบันเป้าหมายหลักของวอชิงตันอยู่ที่กลุ่มประเทศในละตินอเมริกา ซึ่งถูกมองว่าเป็นแหล่งผลิตและลำเลียงยาเสพติด โดยทรัมป์เพิ่งอนุมัติปฏิบัติการทางอากาศโจมตีเรือต้องสงสัยในทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกที่เชื่อมโยงกับ เวเนซุเอลา (Venezuela) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 90 รายตั้งแต่เดือนกันยายน และล่าสุดกองบัญชาการภาคใต้ของสหรัฐฯ รายงานว่าได้โจมตีเรือเพิ่มอีก 3 ลำและสังหารบุคคลไป 8 รายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
โจเซฟ เกรกอรี มาโฮนีย์ (Josef Gregory Mahoney) ศาสตราจารย์จาก East China Normal University และผู้เชี่ยวชาญรายอื่นเห็นตรงกันว่า คำสั่งนี้เป็น "ข้ออ้าง" ในการใช้กำลังทางทหารต่อประเทศในละตินอเมริกา โดยเฉพาะ เวเนซุเอลา (Venezuela) และ เม็กซิโก (Mexico) ได้อย่างชอบธรรมมากขึ้น ขณะที่ความร่วมมือระหว่าง สหรัฐฯ (US) และ จีน (China) ในประเด็นเฟนทานิลยังคงมีความไม่แน่นอน แม้หลังจากการพบกันระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ในเกาหลีใต้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจะทำให้ความร่วมมือกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง โดยปักกิ่งรับปากจะระงับการส่งสารตั้งต้นและเพิ่มความเข้มงวดในการส่งออก
นักวิเคราะห์ อาทิ ผาง จงอิง (Pang Zhongying) จากมหาวิทยาลัยเสฉวน (Sichuan University) เตือนว่าทรัมป์มักไม่รักษาข้อตกลงที่ตนเองทำไว้ และอาจ "เปลี่ยนประเด็นเฟนทานิลให้เป็นอาวุธ" (Weaponize) หากความร่วมมือไม่เป็นไปตามเป้า เพื่อใช้เป็นเหตุผลอธิบายความล้มเหลวต่อปัจจัยภายนอก อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายยังคงมีแนวโน้มที่จะร่วมมือกันต่อไปเนื่องจากปัญหานี้ได้กลายเป็นความท้าทายร่วมกันที่ทั้งสองมหาอำนาจสามารถทำงานร่วมกันได้ง่ายกว่าประเด็นอื่นๆ ในปัจจุบัน
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/news/china/diplomacy/article/3336909/how-will-us-china-ties-fare-trump-calling-fentanyl-weapon-mass-destruction?module=top_story&pgtype=homepage