ผู้เชี่ยวชาญเตือน 'AI อัตโนมัติสายพันธุ์ใหม่'
ผู้เชี่ยวชาญเตือน 'AI อัตโนมัติสายพันธุ์ใหม่' กำลังเติมเชื้อไฟข่าวลวง ความเกลียดชัง –การทูตเชิงทำลายล้าง หลังเหตุโจมตีที่หาดบอนไดในซิดนีย์
22-12-2025
SCMP รายงานว่า โศกนาฏกรรมบอนไดบีช (Bondi Beach): เมื่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการทูตเชิงทำลายล้าง กลายเป็นเครื่องมือขยายฐานความเกลียดชังของกลุ่มสุดโต่งทั่วโลก
-อดัม แฮดลีย์ (Adam Hadley) ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการบริหารของ Tech Against Terrorism องค์กรที่ปรึกษาภายใต้การสนับสนุนของ องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ออกมาเตือนถึง "การบรรจบกันที่อันตราย" ของนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) และวาทกรรมทางการเมืองที่สร้างความแตกแยก ซึ่งกำลังบ่อนทำลายความร่วมมือระหว่างประเทศภายหลังเหตุโจมตีรุนแรงที่หาดบอนได (Bondi Beach) โดยระบุว่าเทคโนโลยี 'Agentic AI' และการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองกำลังสร้างวงจรพิษ (Toxic Symbiosis) ระหว่างกลุ่มสุดโต่งทั้งฝ่ายขวาจัดและกลุ่มญิฮาด
เหตุการณ์สลดครั้งนี้เริ่มจากการกราดยิงฝูงชนชาวอินเดียที่มารวมตัวกันรำลึกเทศกาลฮานุกกะห์ (Hanukkah) ในนครซิดนีย์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มไอซิส (Isis) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 15 ราย อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ข้อเท็จจริงจะปรากฏ ข่าวปลอมได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยสื่อกระแสหลักบางแห่งอ้างแหล่งข่าวไม่ระบุชื่อว่าผู้ก่อเหตุพ่อลูกคือ สาจิด อักราม (Sajid Akram) และ นาวีด อักราม (Naveed Akram) เป็นชาวอัฟกันหรือปากีสถาน ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้าน ปากีสถาน (Pakistan) ในโซเชียลมีเดียอย่างรุนแรง และถูกนำไปขยายผลต่อโดยสื่อใน อิสราเอล (Israel) ที่พยายามเชื่อมโยงถึง อิหร่าน (Iran), กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ (Hezbollah) และกลุ่มฮามาส (Hamas) แม้ภายหลังทางการ ออสเตรเลีย (Australia) จะยืนยันว่า สาจิด อักราม (Sajid Akram) เป็นพลเมืองออสเตรเลียเชื้อสายอินเดียก็ตาม
แฮดลีย์ (Hadley) ชี้ให้เห็นว่าระบบเครือข่ายบอตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ถูกออกแบบมาเพื่อสร้าง "ยอดการเข้าถึง" (Engagement) จากวิกฤตโดยไม่สนความถูกต้อง เนื่องจากความรุนแรงและความกลัวสามารถสร้างรายได้ผ่านยอดคลิก ปรากฏการณ์นี้ทำให้ข้อมูลที่เป็นเท็จถูกขยายผลในระดับอุตสาหกรรมด้วยความเร็วที่เหนือกว่าการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเขายังเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ความไม่สงบในเมืองเซาธ์พอร์ต (Southport) ประเทศอังกฤษ (UK) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 ที่ข่าวปลอมเรื่องผู้อพยพได้จุดชนวนจลาจลนานนับสัปดาห์
ในมิติทางการเมือง ผู้นำอิสราเอลถูกวิจารณ์ว่ารีบด่วนสรุปเพื่อผลประโยชน์ทางการทูต โดย นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) และรัฐมนตรีต่างประเทศ กิเดียน ซาร์ (Gideon Saar) ได้โพสต์ข้อความโจมตี นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบานีซี (Anthony Albanese) ของออสเตรเลียว่ามีความ "อ่อนแอ" ต่อกลุ่มผู้ประท้วงหนุนปาเลสไตน์ จนเป็นเหตุให้เกิดการโจมตี ซึ่งทำให้อัลบานีซีและอดีตนายกรัฐมนตรี มัลคอล์ม เทิร์นบุลล์ (Malcolm Turnbull) ต้องออกมาตอบโต้เนทันยาฮูว่า "อย่าแทรกแซงการเมืองออสเตรเลีย" นอกจากนี้ เนทันยาฮูยังระบุตัวฮีโร่ผู้ขัดขวางคนร้ายคือ อาเหม็ด อัล อาเหม็ด (Ahmed al Ahmed) ผิดว่าเป็นชาวไอริช (Jewish) ก่อนจะยอมรับภายหลังว่าเขาเป็นชาวมุสลิม
แฮดลีย์ (Hadley) ย้ำว่ายุทธศาสตร์ของกลุ่มญิฮาดคือการกระตุ้นให้เกิดกระแสต่อต้านมุสลิมและผู้อพยพในตะวันตก เพื่อทำให้ชาวมุสลิมรู้สึกไม่ปลอดภัยและถูกโดดเดี่ยวจนนำไปสู่การเข้าร่วมกับกลุ่มสุดโต่งในที่สุด ดังนั้น นักการเมืองฝ่ายขวาที่ใช้เหตุการณ์นี้โจมตีผู้อพยพจึงเท่ากับ "ทำงานให้กลุ่มญิฮาด" โดยมี AI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้การประสานงานของกลุ่มหัวรุนแรงทำได้รวดเร็วและกว้างขวางขึ้นกว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้วอย่างเทียบไม่ได้
ท้ายที่สุด แฮดลีย์ (Hadley) เรียกร้องให้รัฐบาลและผู้ให้บริการเทคโนโลยีเปลี่ยนผ่านจากการตั้งรับมาเป็นการคาดการณ์ภัยคุกคามเชิงรุก และต้องปฏิบัติกับความปลอดภัยของ AI ในฐานะ "ความมั่นคงที่จำเป็น" ไม่ใช่เพียงแค่การถกเถียงเรื่องจริยธรรม เนื่องจากโลกได้เข้าสู่ยุคที่ความน่าเชื่อถือของเนื้อหาบนโลกออนไลน์ตกอยู่ในสภาวะไม่แน่นอนอย่างสิ้นเชิงแล้ว
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/week-asia/politics/article/3337192/how-bondi-beach-attack-became-flashpoint-global-disinformation-and-ai-driven-hate?module=top_story&pgtype=homepage