ทรัมป์ชะลอปฏิบัติการทหารในเวเนซุเอลา
ทรัมป์ชะลอปฏิบัติการทหารในเวเนซุเอลา นักวิเคราะห์มองเป็นยุทธศาสตร์จำกัดความเสี่ยง 'รักษาอำนาจนำสหรัฐฯ ในสมรภูมิสหรัฐฯ–จีน–รัสเซีย'
27-12-2025
SCMP รายงานว่า ความลังเลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ในการสั่งการแทรกแซงทางทหารโดยตรงในเวเนซุเอลา (Venezuela) กำลังถูกวิเคราะห์ว่าเป็นภาพสะท้อนของความย้อนแย้งที่สหรัฐฯ (US) กำลังเผชิญ ระหว่างความต้องการทวงคืนอำนาจในเขตอิทธิพลเดิมกับการบริหารจัดการความเสี่ยงในการเผชิญหน้ากับมหาอำนาจอย่างจีน (China) และรัสเซีย (Russia)
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าไม่ควรตีความความลังเลนี้ว่าเป็นความอ่อนแอ เนื่องจากวอชิงตัน (Washington) ได้ยกระดับมาตรการคว่ำบาตร การปิดล้อมทางทะเล และความกดดันทางการทูตอย่างเข้มข้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่ปรับเปลี่ยนใหม่เพื่อรักษาอิทธิพลโดยไม่ให้เกิดภาระผูกพันที่เกินตัว ท่ามกลางการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในลาตินอเมริกา
รัฐบาลทรัมป์ดำเนินแคมเปญ "กดดันสูงสุด" (Maximum pressure) ต่อประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร (Nicolas Maduro) ภายใต้ปฏิบัติการ "Operation Southern Spear" ซึ่งอ้างว่าเป็นความพยายามปราบปรามการค้ายาเสพติดและระบอบการปกครองที่วอชิงตันระบุว่าเป็น "องค์กรก่อการร้ายต่างชาติ" โดยมีการวางกำลังเรือรบกว่า 12 ลำและทหาร 15,000 นายในทะเลแคริบเบียน (Caribbean)
ไมค์ วอลซ์ (Mike Waltz) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ (UN) แถลงต่อคณะมนตรีความมั่นคงว่า แม้ทางเลือกทางทหารจะยังคงอยู่บนโต๊ะเจรจา แต่เป้าหมายหลักคือการคว่ำบาตรขั้นสูงสุดเพื่อตัดทรัพยากรของมาดูโร ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่ากองกำลังสหรัฐฯ ได้รับคำสั่งให้บังคับใช้มาตรการ "กักกัน" (Quarantine) น้ำมันของเวเนซุเอลาเป็นเวลาอย่างน้อยสองเดือน โดยพุ่งเป้าไปที่เรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตรทุกลำ
นอกจากนี้ บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่ากองกำลังสหรัฐฯ ได้ทำการบุกขึ้นตรวจค้นเรือ "Centuries" ซึ่งเป็นเรือที่ไม่ถูกคว่ำบาตรและมีบริษัทในฮ่องกง (Hong Kong) เป็นเจ้าของเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลคารากัส (Caracas) ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องยาเสพติดและระบุว่าสหรัฐฯ พยายามโค่นล้มรัฐบาลเพื่อยึดครองแหล่งน้ำมันสำรองที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ทางด้านจีน (China) ในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่และผู้นำเข้าน้ำมันดิบหลักของเวเนซุเอลา ได้ร่วมกับรัสเซียประณามการกระทำของสหรัฐฯ ใน UN โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หวัง อี้ (Wang Yi) ระบุว่าเป็นการกระทำที่ "ยึดถือลัทธิฝ่ายเดียวและเป็นการรังแกผู้อื่น" พร้อมยืนยันการสนับสนุนคารากัสอย่างมั่นคง
ศาสตราจารย์ สือ หยินหง (Shi Yinhong) จากมหาวิทยาลัยเหรินหมิน (Renmin University) วิเคราะห์ว่าข้อจำกัดทางกฎหมายและภายในประเทศเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ทรัมป์ระมัดระวัง เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ การปฏิบัติการทางทหารเชิงรุกต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภา (Congress) ซึ่งโอกาสที่จะได้รับความเห็นชอบนั้นมีน้อยมาก และบทเรียนจากอิรัก (Iraq) และอัฟกานิสถาน (Afghanistan) ทำให้วอชิงตันต้องปรับตัวไปสู่การ "หลีกเลี่ยงความเสี่ยง" (Risk avoidance)
เจียง สือเสวีย (Jiang Shixue) ผู้อำนวยการศูนย์ลาตินอเมริกาศึกษา มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ (Shanghai University) เสริมว่าการโค่นล้มรัฐบาลมาดูโรไม่ใช่เรื่องง่าย และการกดดันของสหรัฐฯ อาจส่งผลย้อนกลับโดยการกระตุ้นกระแสต่อต้านอเมริกันและทำให้มาดูโรได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในฐานะผู้ต่อสู้กับลัทธิอำนาจนิยม ขณะที่ศาสตราจารย์ เสิ่น ติงลี่ (Shen Dingli) แสดงความกังขาต่อยุทธศาสตร์กดดันสูงสุด โดยเปรียบเทียบกับความล้มเหลวในการปิดล้อมคิวบา (Cuba) ที่ยาวนานหลายทศวรรษ
สือ หยินหง (Shi Yinhong) ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของจีนในเวเนซุเอลา โดยเตือนว่าการส่งน้ำมันดิบผ่านเรือบรรทุกจากฮ่องกงในสภาวะที่มีการยึดเรือโดยสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่ "ประมาท" และแนะนำว่าจีนควรพิจารณาหยุดการขนส่งน้ำมันจากแหล่งนี้ชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการ "เดินเข้าหาแนวกระสุน"
แม้สหรัฐฯ จะพยายามแยกจีนออกจากภูมิภาคนี้ผ่านยุทธวิธีต่างๆ แต่ เจียง สือเสวีย (Jiang Shixue) ยังคงเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนและลาตินอเมริกาจะยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้านั้นตั้งอยู่บนรากฐานที่มั่นคงและเป็นของจริง ซึ่งการกระทำของสหรัฐฯ ไม่สามารถผลักไสประเทศเหล่านี้ออกไปจากจีนได้
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/news/china/diplomacy/article/3337845/trumps-military-restraint-venezuela-power-play-eye-china-or-weakness?module=top_story&pgtype=homepage