ทองคำคือเงิน ที่เหลือคือเครดิต

ทองคำคือเงิน ที่เหลือคือเครดิต
เจ พี มอร์แกน ผู้ก่อตั้งธนาคารเจ พี มอร์แกน และหนึ่งในผู้ก่อตั้งUS Federal Reserve กล่าววาจาอมตะในปี 1912 ว่าทองคำคือเงิน ที่เหลือคือเครดิต (หรือหนี้)
ด้วยเหตุนี้ พวกแบงเกอร์ในซิตี้ ออฟ ลอนดอนและวอลล์สตรีทจึงรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับยูเอส ดอลลล่าร์ในอนาคตเมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำในปี 1971 เงินดอลล่าร์ที่ไม่มีทองคำหนุนหมดสภาพความเป็นเงิน ทันทีและกลายเป็นเครดิตดีๆนี้เองที่รัฐบาลกลางสหรัฐสัญญาว่าจะชดใช้หนี้ดอลล่าร์กระดาษคืนด้วยรายได้จากการเก็บภาษี
แน่นอนเลยทีเดียวที่มีมือที่มองไม่เห็นจากลอนดอนบอกให้นิกสันยกเลิกการเอาทองคำมาหนุนดอลล่าร์ หลังจากที่สหรัฐเริ่มมีการขาดดุลงบประมาณ และขาดดุลการค้า ทำให้ผู้ที่ถือครองดอลล่าร์ไม่มั่นใจ ต้องการเอาดอลล่าร์ไปขึ้นทองคำ ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีบทบาทมากที่สุดในการเรียกร้องให้สหรัฐชำระบัญชีการขาดดุลการค้ากับประเทศคู่ค้าด้วยทองคำ แทนที่จะออกพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นหนี้มาจ่ายหนี้จากการขาดดุล เพราะสหรัฐไม่ต้องการสูญเสียทองคำสำรอง ชาร์ลส เดอ โกล ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ผู้ออกมาเปิดโปงกลโกงการเงินของสหรัฐในปี 1965
ว่าสหรัฐใช้สิทธิพิเศษของความเป็นมหาอำนาจโลกในการจ่ายหนี้ด้วยหนี้ แทนที่จะจ่ายหนี้ด้วยทองคำที่เป็นเงินที่แท้จริง อีกสามปีต่อมา เดอ โกลจบชีวิตทางการเมืองลง เพราะบังอาจท้าทายอำนาจของพวกนายธนาคาร
ในปี 1970 เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่ปรึกษาสภาความมั่นคงของสหรัฐรู้สึกไม่สบายใจกับการขาดดุลการค้าของสหรัฐเป็นคร้ังแรก เพราะจะทำให้สหรัฐต้องสูญเสียทองคำสำรองหากต่างชาติไม่มั่นใจที่จะถือดอลล่าร์ที่ได้จากการเกินดุลกับสหรัฐต่อไป จึงเรียกประชุมกับผู้เชี่ยวชาญว่าจะจัดการกับหนี้ที่เกิดจากการขาดดุลอย่างไร หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญนั้นคือพอล โวลเกอร์ (Paul Volcker) ซึ่งต่อมาเป็นประธานของธนาคารกลางของสหรัฐแนะว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องการขาดดุล และสหรัฐควรต้องเพิ่มการขาดดุลเป็นหลายเท่าตัวด้วยซ้ำ แล้วให้ต่างชาติจ่ายการขาดดุลการค้านี้
มันเป็นความคิดที่วิเศษ! คิสซิงเจอร์รีบรับลูกทันที ที่ทำเช่นนี้ได้ เพราะว่าสหรัฐ ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด และมีกองทัพที่เกรียงไกรที่สด มีดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกที่เป็นสื่อกลางของการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยไม่มีเงินสกุลใดมาแข่งหรือเทียบเคียงได้ ต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมนี และญี่ปุ่นในเวลานั้นได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐ ได้มีการเอาดอลล่าร์ที่ได้จากการส่งออกไปลงทุนพันธบัตรสหรัฐ ถ้าจะรักษาการให้ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก รัฐบาลสหรัฐต้องดำเนินนโยบายการขาดดุลงบประมาณ เพื่อที่จะออกพันธบัตรมารองรับการใช้จ่ายที่เกินตัว ต่างชาติจะได้เอาเงินดอลล่าร์ที่ได้จากการส่งออกมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เท่ากับเป็นการรีไซเกิ้ลดอลล่าร์กลับมายังสหรัฐ
ยิ่งสหรัฐขยายการขาดดุลเท่าใด ยิ่งจะต้องออกพันธบัตร หรือสร้างหนี้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากสหรัฐเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจโลก การขาดดุลของสหรัฐเพื่อการบริโภคช่วยทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัว ประเทศต่างๆที่ผลิตสินค้ามีการขยายโรงงาน และการผลิตเพื่อส่งออกเข้าไปขายในตลาดอเมริกา เมื่อมีรายได้ดอลล่าร์จะกันส่วนหนึ่งไปลงทุนในพันธบัตรสหรัฐเป็นรีเสิร์ฟประกันความมั่นคงของเงินสกุลของตัวเอง คนอเมริกันก็ได้ประโยชน์จากการบริโภคสินค้าราคาถูกที่นำเข้า การที่จะทำเช่นนี้ได้ ดอลล่าร์ต้องเป็นเงินสกุลหลักของโลกเท่านั้น
พวกนายธนาคารของซิตี้ ออฟ ลอนดอน และวอลล์สตรีทที่ควบคุมระบบการเงิน และระบบเศรษฐกิจของสหรัฐจึงสร้างโมเดลใหม่ให้จีนเป็นผู้ทำหน้าที่การผลิตให้สหรัฐบริโภคผ่านการก่อหนี้ ควบคู่กับเยอรมนี ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆที่ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
คิสซิงเจอร์จึงเดินทางไปเยือนจีนเพื่อพูดคุยกับเหมา เจ๋อตุง ผู้นำจีนในทางลับระหว่างวันที่ 9-11 กรกฎาคม ปี1971เพื่อเจรจาขอเปิดสัมพันธไมตรีระหว่างสหรัฐกับจีนในช่วงเวลาที่โลกกำลังตกอยู่ในสงครามเย็นระหว่างสหรัฐ ผู้นำค่ายโลกเสรีประชาธิปไตยกับสหภาพโซเวียต ผู้นำค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ นักวิเคราะห์ทางรัฐศาสตร์ส่วนมากมองว่า แผนของคิสซิงเจอร์ที่ต้องการเปิดสัมพันธ์กับจีนก็เพื่อที่จะแยกจีน ซึ่งล้าหลัง และด้อยพัฒนามากในเวลานั้นออกจากรัสเซีย ท้ังๆที่จีนกับรัสเซียมีความขัดแย้งกันอยู่แล้วเนื่องจากยึดมั่นในทฤษฎีคอมมิวนิสต์คนละสาย
แต่เป้าหมายที่แท้จริงของคิสซิงเจอร์คือ การสร้างจีนให้เป็นผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เพื่อป้อนให้ตลาดผู้บริโภคอเมริกา โดยสหรัฐจะพิมพ์ดอลล่าร์ออกมาแลก ผู้ที่จะได้ประโยชน์ที่แท้จริงคือบริษัทอเมริกัน หรือบริษัทตะวันตกที่จะย้ายฐานผลิตไปจีน เพื่อจะได้ประโยชน์จากค่าแรงที่ถูก และตลาดภายในจีนที่จะเติบโตในอนาคต แต่เหนืออื่นใด ธนาคารที่ลอนดอนและวอลล์สตรีทจะได้กำไรมหาศาลจากการไฟแนนซ์การลงทุนในจีน โดยเอาสินทรัพย์ที่บริษัทลงทุนเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อจุดชนวนวงจรของระบบเครดิตโลกรอบใหม่ที่จะกินเวลาหลายทศวรรษต่อมา
วันที่ 15 สิงหาคม ปี 1971 หรือ ประมาณ1เดือนหลังจากคิสซิงเจอร์ไปเยือนจีนคร้ังแรก ประธานาธิบดีนิกสันประกาศยกเลิกการผูกดอลล่าร์กับทองคำ ปล่อยให้ดอลล่าร์ลอยตัว และยอมให้ดอลล่าร์อ่อนค่าลงเห็นได้จากที่ราคาทองคำพุ่งทะยานในเวลาต่อมา เพราะมั่นในว่ามีโมเดลสร้างจีนรองรับการยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำเอาไว้แล้ว แม้ว่ากว่าจีนจะเปิดประเทศจริงๆเพื่อรับเอาทุนนิยมการผลิตก็ต้องรอให้เหมา เจ๋อตุงตายไปก่อน ลุถึงปี 1978ในสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง จีนจึงเริ่มเปิดประเทศ เพื่อรับเอาการลงทุนจากสหรัฐ วิธีการบริหารจัดการของตะวันตก และผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐเป็นหลัก เพื่อเอาดอลล่าร์มาฟื้นฟูประเทศ ตอนนั้นเงินหยวนแทบที่จะไร้ค่า
เมื่อจีนขายสินค้าได้ดอลล่าร์มาแล้ว จึงเอาดอลล่าร์ส่วนเกินนั้นไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เพื่อรีไซเกิ้ลดอลล่าร์กลับสหรัฐ ทำให้สหรัฐสามารถก่อหนี้ และขยายการขาดดุลได้เรื่อยๆและใช้จ่ายงบประมาณทางทหารมากที่สุดในโลกเพื่อพัฒนากองทัพและคงฐานทัพในประเทศต่างๆทั่วโลก
ก่อนที่จะใช้จีนช่วยรีไซเกิ้ลดอลล่าร์ คิสซิงเตอร์เดินทางไปซาอุดิ อาราเบียในปี 1974เพื่อกดดันให้ซาอุฯกับประเทศอาหรับขายน้ำมันเป็นเงินสกุลดอลล่าร์อย่างเดียว โดยสหรัฐจะขายอาวุธให้ และช่วยดูแลเรื่องความมั่นคงให้เป็นการแลกเปลี่ยน เนื่องจากดอลล่าร์ไม่มีทองคำหนุนหลัง คิสซิงเจอร์จึงต้องการเอาบ่อน้ำมันในตะวันออกกลางมาหนุนดอลล่าร์แทน ถ้าไม่ยอมตกลงตามนี้ คิสซิงเจอร์ขู่จะเอากองทัพอเมริกันไปยึดบ่อน้ำมันของซาอุฯ
เปโตรดอลล่าร์จึงถือกำเนิดขึ้นมา โดยที่ประเทศต่างๆที่ต้องซื้อน้ำมันจากตะวันออกกลางต้องสำรองดอลล่าร์ หรือต้องส่งออกหรือมีรายได้เป็นดอลล่าร์ เพื่อเอาดอลล่าร์ไปซื้อน้ำมัน ซึ่งมีความจำเป็นในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ซาอุฯและประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่ขายน้ำมันได้ดอลล่าร์มาแล้ว ก็เอาดอลล่าร์ไปรีไซเกิ้ลผ่านการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
โมเดลการขาดดุลการค้า การใช้เยอรมนี ญี่ปุ่น จีนและประเทศต่างๆรวมท้ังไทยผลิตสินค้าให้สหรัฐบริโภคผ่านการก่อหนี้ด้วยการพิมพ์ดอลล่าร์กระดาษเปล่าๆออกจากกลางอากาศ แล้วให้ประเทศที่ได้ดอลล่าร์ช่วยเพื่อการรีไซเกิ้ลดอลล่าร์กลับไปไฟแนนซ์งบประมาณขาดดุลของสหรัฐเป็นหลูบใหญ่ ดำเนินมายาวนานเกือบ60ปีแล้ว จนทำให้หนี้ของรัฐบาลสหรัฐพุ่งถึงระดับ$37ล้านล้าน และดูท่าจะลากยาวต่อไปได้อีกไม่นาน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีการสร้างความรู้เทียมทางการเงินและเศรษฐศาสตร์โดยพวกนายธนาคารลอนดอน เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจว่าทองคำไม่มีไร้ค่า หรือไร้ประโยชน์ ราคาทองคำถูกกดให้ต่ำกว่าความเป็นจริงผ่านการชอร์ตทองคำโดยพวกbullion banksในสังกัดในตลาดทองคำกระดาษ ในขณะเดียวกันมีการโปรโหมทพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐว่าเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงที่สุดในโลก ดีกว่าทองแบบเทียบกันไม่ได้ เพราะว่าตามคำพูดของปู่วอร์เรน บัฟฟเฟตต์ ทองคำเป็นโลหะสีเหลืองที่ไม่มีประโยชน์อะไร จัดเก็บรักษาก็ลำบาก และไม่สร้างรายได้อะไร ไม่เหมือนกับหุ้น หรือพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจึงกลายเป็นเสาหลักของระบบการเงินโลกที่มีดอลล่าร์กระดาษเป็นศูนย์กลาง เพราะว่าธนาคารกลางของประเทศต่างๆถือพันธบัตรสหรัฐเป็นรีเสิร์ฟ และธนาคารพานิชย์ใช้พันธบัตรเป็นหลักทรัพย์ประกันในการกู้ยืมเงิน
แต่เวลานี้ โมเดลการบริโภคเกินตัวผ่านการขาดดุลการค้า การขาดุลงบประมาณ การออกพันธบัตรสหรัฐเพื่อก่อหนี้ และการให้ประเทศที่เกินดุลรีไซเกิ้ลดอลล่าร์กลับมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐกำลังสิ้นอายุขัยลง เนื่องจากสหรัฐมีการก่อหนี้สูงเกินไป จนทุกคนรู้ดีว่าสหรัฐไม่มีทางชำระหนี้คืนได้ ได้แต่ก่อหนี้ใหม่เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้เก่า หรือพูดง่ายๆว่าระบบการเงินของสหรัฐกลายเป็นPonzi Scheme หรือระบบแชร์ลูกโซ่ไปนานแล้ว ในขณะที่ดอลล่าร์มีการพิมพ์ออกมาไม่จำกัด ที่ผ่านมาทุกๆประเทศติดกับดักดอลล่าร์ ดิ้นไม่ออกเพราะว่าไม่มีทางเลือก แต่เวลานี้ สถานการณ์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้ใหญ่เหมือนเดิม เทียบเท่าเพียง20%ของจีดีพีโลก ไม่ได้มีการผลิตที่มีนัยสำคัญ เพราะว่าบริษัท หรือโรงงานอเมริกันย้ายฐานผลิตไปจีน เม็กซิโก และประเทศอื่นที่ค่าแรงงานถูก วิกฤตเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
โดนัลด์ ทรัมป์จึงถูกส่งเข้ามาเพื่อรีเซ็ตระบบเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐ เพื่อทำให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่อีกคร้ัง แต่การแก้ปัญหาด้วยการก่อสงครามภาษี เพื่อลดการขาดดุล และดึงภาคการผลิตกลับประเทศ โดยมีเป้าหลักมุ่งไปที่หยุดยั้งจีนมีผลย้อนกลับมาที่ตัวสหรัฐเอง เนื่องจากสหรัฐมีหนี้มากที่สุดในโลก ตลาดพันธบัตรจึงเป็นจุดอ่อน เมื่อถูกเทขาย อัตราผลตอบแทนจึงพุ่งสูงขึ้น ในขณะที่หุ้นก็ตกหนัก และดอลล่าร์ร่วงสวนทางกับราคาราคาทองคำที่พุ่งสุงขึ้น จนทำให้ทรัมป์ต้องยอมถอยเพื่อตั้งหลักใหม่
ยังดูไม่ออกเหมือนกันว่า ทรัมป์จะออกจากหลุมที่ตัวเองขุดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะว่าประมาณหนี้ท้ังหมดในระบบของสหรัฐสูงกว่าซับไพลของดอลล่าร์ที่หมุนเวียน ทำให้ต้องมีการเพิ่มดอลล่าร์เข้าไปในระบบเพื่อจ่ายหนี้ ผลที่ตามมาจะทำให้สหรัฐจะเผชิญกับเงินเฟ้อระดับไฮเปอร์ต่อไป
By Thanong Khanthong
24/4/2025