อินเดียรื้อฟื้นการนับข้อมูลวรรณะครั้งแรก

อินเดียรื้อฟื้นการนับข้อมูลวรรณะครั้งแรกในรอบเกือบศตวรรษ จุดชนวนถกเถียงทั่วประเทศ
18-5-2025
สำหรับชาวอินเดียนับล้าน ระบบวรรณะที่สืบทอดมายาวนานนับพันปี ยังคงเป็นโครงสร้างหลักของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสังคม การหาคู่ การทำงาน หรือแม้แต่การศึกษา แม้รัฐบาลอินเดียจะยืนยันมาโดยตลอดว่าระบบชนชั้นทางสังคมไม่มีที่ยืนในประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และได้ออกกฎหมายห้ามการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งวรรณะมาตั้งแต่ปี 1950
แต่การประกาศล่าสุดของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ที่จะนับข้อมูลวรรณะในการสำรวจสำมะโนประชากรระดับชาติครั้งถัดไป นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย และจะเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลอินเดียนับข้อมูลวรรณะนับตั้งแต่ปี 1931 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศยังตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ
รัฐบาลระบุว่าการนับวรรณะจะ “ช่วยป้องกันไม่ให้โครงสร้างสังคมของเราต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางการเมือง” และว่า “สิ่งนี้จะช่วยให้สังคมมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมมากยิ่งขึ้น และประเทศสามารถพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุด” ตามแถลงการณ์เดือนเมษายน อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ดังกล่าวไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าจะมีการเก็บข้อมูลอย่างไร และจะจัดทำเมื่อใด โดยการสำรวจถูกเลื่อนออกไปหลายครั้งจากกำหนดเดิมในปี 2021
แต่อย่างน้อย การประกาศดังกล่าวก็ได้จุดชนวนการถกเถียงที่ดำเนินมาอย่างยาวนานอีกครั้ง ว่าการนับวรรณะจะช่วยยกระดับกลุ่มผู้เสียเปรียบ หรือยิ่งตอกย้ำความแตกแยกในสังคมกันแน่
ปูนัม มุตเตรจา ผู้อำนวยการมูลนิธิประชากรอินเดีย ระบุว่า “การสำรวจวรรณะเป็นเรื่องอ่อนไหว เพราะบีบบังคับให้รัฐต้องเผชิญหน้ากับความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่มักถูกมองว่าไม่สะดวกทางการเมืองและสังคม” เธอกล่าวว่า การขาดข้อมูลวรรณะในช่วงเกือบศตวรรษที่ผ่านมา หมายความว่า “เรากำลังขับเคลื่อนนโยบายอย่างมืดบอด ทั้งที่อ้างว่าจะสร้างความยุติธรรมทางสังคม” พร้อมชี้ว่า “การสำรวจครั้งใหม่นี้จะกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์”
วรรณะคืออะไร?
ระบบวรรณะของอินเดียมีรากฐานจากคัมภีร์ศาสนาฮินดู แบ่งประชากรออกเป็นลำดับชั้นทางสังคมที่กำหนดอาชีพ สถานที่อยู่อาศัย และแม้กระทั่งผู้ที่พวกเขาสามารถแต่งงานด้วย
แม้ในปัจจุบันจะมีชาวอินเดียที่ไม่ได้นับถือศาสนาฮินดู เช่น มุสลิม คริสเตียน เชน และพุทธจำนวนมาก แต่ก็ยังระบุวรรณะของตนเอง
ระบบวรรณะหลักแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม และยังแยกย่อยออกเป็นวรรณะย่อยนับพัน อาทิ พราหมณ์ ซึ่งแต่เดิมมีบทบาทเป็นนักบวชและนักปราชญ์ และชาวดาลิต ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า “วรรณะจัณฑาล” ที่ถูกบังคับให้ทำงานเก็บขยะและทำความสะอาด
คนวรรณะล่างมักถูกมองว่า “เป็นมลทิน” และมักถูกกีดกันไม่ให้เข้าใช้วัดหรือบ้านของคนวรรณะบน รวมถึงถูกบังคับให้ใช้ภาชนะต่างหากเมื่อต้องกินหรือดื่มร่วมกัน
อินเดียพยายามล้างระบบวรรณะหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1947 โดยนำเสนอรัฐธรรมนูญใหม่ที่ห้ามการเลือกปฏิบัติทางวรรณะ และจัดสรรโควตางานราชการรวมถึงที่นั่งในสถานศึกษาให้กับผู้มาจากวรรณะชายขอบ โดยสงวนไว้ถึง 50% ในบางกรณี
เหตุใดถึงเกิดขึ้นในตอนนี้?
แม้นายกรัฐมนตรีโมดีจะเคยต่อต้านการแบ่งประชากรตามเส้นแบ่งวรรณะ โดยเคยกล่าวว่าวรรณะใหญ่ที่สุดในอินเดียคือ คนจน เยาวชน ผู้หญิง และเกษตรกร และการช่วยเหลือกลุ่มเหล่านี้จะช่วยยกระดับทั้งประเทศ
แต่ความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้มาจากวรรณะชายขอบได้ส่งผลให้พรรคฝ่ายค้านได้รับแรงหนุนในการเลือกตั้งระดับชาติปี 2024 ซึ่งผลลัพธ์ถือเป็น “เซอร์ไพรส์” แม้โมดีจะได้กลับมาดำรงตำแหน่งสมัยที่สาม แต่พรรค BJP ของเขากลับไม่ได้เสียงข้างมากในรัฐสภา
การหันกลับมาสนับสนุนการสำรวจวรรณะของโมดี จึงถูกมองว่าเป็น “หมากการเมือง” เพื่อกอบกู้ฐานเสียง ก่อนการเลือกตั้งระดับรัฐ โดยเฉพาะในรัฐพิหารซึ่งถือเป็นสมรภูมิการเมืองสำคัญ
M.K. สตาลิน มุขมนตรีรัฐทมิฬนาฑู และนักวิจารณ์โมดีมายาวนาน เขียนโพสต์ใน X ว่า “การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีกลิ่นการเมืองแรงชัดเจน”
ข้อเสนอที่ถกเถียงอย่างหนัก
แม้จะมีผู้สนับสนุนจำนวนมาก แต่ข้อเสนอก็เผชิญเสียงคัดค้านไม่น้อย โดยฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าอินเดียควรเดินหน้าลดบทบาทของวรรณะ ไม่ใช่ทำให้มันกลายเป็นเรื่องถาวร
ซอนัลเด เดไซ นักประชากรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์กล่าวว่า แทนที่จะเน้นที่วรรณะ รัฐควรใช้ปัจจัยอื่นในการกำหนดนโยบาย เช่น ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม
แม้เดไซจะสนับสนุนการสำรวจวรรณะ แต่เธอก็ยอมรับว่าบางคนอาจมองว่าเป็นการย้อนถอย ไม่ใช่การก้าวข้ามโครงสร้างวรรณะเดิม
อีกประเด็นคือ หากข้อมูลสำรวจพบว่ามีจำนวนคนจากวรรณะชายขอบมากกว่าที่คาด รัฐอาจถูกกดดันให้ขยายโควตาเพิ่ม ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจแก่กลุ่มวรรณะบนบางกลุ่ม
การประท้วงต่อต้านโควตาสำหรับวรรณะชายขอบเคยปะทุขึ้นมาแล้วในอดีต และบางครั้งรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยกลุ่มเหล่านี้กล่าวหารัฐบาลว่าลำเอียงในการจัดสรรสิทธิประโยชน์
ประเด็นการกระจายอำนาจและการออกแบบนโยบายใหม่
ผู้สนับสนุนระบุว่า การสำรวจวรรณะถือว่าล่าช้าเกินไปเสียด้วยซ้ำ มันสามารถเปิดเผยได้ว่าโครงสร้างอำนาจในสังคมได้เปลี่ยนไปอย่างไรนับตั้งแต่ปี 1931 และวรรณะบางกลุ่มที่เคยได้รับอภิสิทธิ์อาจไม่ได้อยู่ในสถานะเดิมอีกต่อไป
ข้อมูลนี้จะทำให้รัฐบาลสามารถ “จัดอันดับใหม่” เพื่อพิจารณาว่ากลุ่มใดควรอยู่ในหมวดใด และควรได้รับทรัพยากรหรือสิทธิประโยชน์ใดบ้าง
พูนัม มุตเตรจาระบุว่า ข้อมูลสามารถช่วย “ออกแบบ” นโยบายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เช่น การจัดงบการศึกษา การสนับสนุนสุขภาพ การสร้างงาน และอื่นๆ พร้อมเสริมว่า “มันจะช่วยให้โควตาสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างจริง ไม่ใช่แค่ตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา”
เธอทิ้งท้ายว่า เมื่อข้อมูลถูกเปิดเผยแล้ว “รัฐบาลก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือทำ” และสำหรับผู้ที่ยังปฏิเสธว่าการเลือกปฏิบัติทางวรรณะยังมีอยู่ เธอกล่าวว่า “ข้อมูลเหล่านี้จะจ้องกลับไปที่ใบหน้าของพวกเขาเอง”
IMCT News