.

ECB ส่งสัญญาณเตือนความเสี่ยงจากตลาดทองคำ - ความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคือ???
31-5-2025
Kitco News รายงานว่า มีบทวิเคราะห์สั้นที่น่าสนใจ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้หันมาให้ความสนใจกับตลาดทองคำและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบการเงิน ECB ระบุว่าปัจจุบันเขตยูโรโซนมีภาระผูกพันเกี่ยวกับทองคำสูงถึงประมาณ 1 ล้านล้านยูโร (คิดเป็นราว 6% ของ GDP ของเขตยูโร หรือ 2.5% ของงบดุลรวมของธนาคารในเขตยูโรทั้งหมด) เพิ่มขึ้น 58% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2024 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา
### ECB วิเคราะห์ปัจจัยหนุนราคาทองและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
นักวิเคราะห์ของ ECB ได้กล่าวถึงการพุ่งสูงขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาอย่างละเอียด โดยเชื่อมโยงกับระดับความไม่แน่นอนสูงที่นักลงทุนรับรู้ พร้อมวิเคราะห์การกระจายตัวของอุปสงค์ทองคำในตราสารอนุพันธ์ ตราสารราคา และการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า COMEX ซึ่งอาจเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ รวมถึงเน้นย้ำบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ "ปลอดภัย" (safe haven) อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของ ECB แสดงความกังวลว่าในช่วงวิกฤต ตลาดทองคำอาจกลายเป็นแหล่งอันตราย โดยระบุว่า "หากเหตุการณ์สุดขั้วเกิดขึ้นจริง อาจส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางการเงินที่เกิดจากตลาดทองคำ"
พวกเขามองเห็น "จุดอ่อน" ในระบบการเงินอันเนื่องมาจากพัฒนาการในตลาดทองคำ นักวิเคราะห์ของ ECB เขียนว่า: "จุดอ่อนดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มักกระจุกตัวอยู่ในบริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง มักเกี่ยวข้องกับการใช้เลเวอเรจ และมีความไม่โปร่งใสในระดับสูงจากการใช้ตราสารอนุพันธ์นอกตลาด (OTC derivatives) การเรียกหลักประกันและการล้างสถานะที่ใช้เลเวอเรจอาจนำไปสู่ภาวะตึงตัวด้านสภาพคล่องในหมู่ผู้เข้าร่วมตลาด ซึ่งอาจแพร่กระจายผลกระทบไปยังระบบการเงินในวงกว้าง"
นอกจากนี้ ECB ยังกล่าวว่า "การหยุดชะงักในตลาดทองคำกายภาพอาจเพิ่มความเสี่ยงของการบีบตลาด (squeeze) ในกรณีนี้ ผู้เข้าร่วมตลาดอาจต้องเผชิญกับการเรียกหลักประกันจำนวนมาก และ/หรือประสบปัญหาในการจัดหาและขนส่งทองคำกายภาพที่เหมาะสมสำหรับการส่งมอบในสัญญาอนุพันธ์ ส่งผลให้พวกเขาเสี่ยงต่อการขาดทุนจำนวนมาก"
### เบื้องหลังความกังวลของ ECB: ความเปราะบางของระบบเงินเฟียต
จากมุมมองของ ECB การมองตลาดทองคำเป็นความเสี่ยงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจาก ECB และพนักงานของธนาคารเป็นส่วนหนึ่งและสนับสนุนระบบเงินเฟียต (fiat money system) ซึ่งเป็นระบบที่เงินถูกสร้างขึ้นจากอากาศผ่านการขยายสินเชื่อธนาคาร โดยธนาคารพาณิชย์ดำเนินงานบนพื้นฐานของการสำรองเศษส่วน (fractional reserve) ซึ่งหมายความว่าธนาคารมีภาระผูกพันที่ต้องชำระในแต่ละวันมากกว่าเงินสดที่มีอยู่จริง
ระบบเงินเฟียตดังกล่าวมีความเสี่ยงต่อสิ่งที่เรียกว่า "การสูญเสียความเชื่อมั่น" หรือการแห่ถอนเงินจากธนาคาร (bank run) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าพากันไปเรียกร้องเงินสดที่ธนาคาร แต่ธนาคารกลับไม่มีสภาพคล่องเพียงพอ ตามข้อมูล ธนาคารในเขตยูโรมีภาระผูกพันที่ต้องชำระรายวันสูงถึง 9.1 ล้านล้านยูโร แต่มีเงินสำรองจากธนาคารกลางเพียง 2.8 ล้านล้านยูโรเท่านั้น ส่วนการถือครองเงินสดจริง (เหรียญและธนบัตร) ของธนาคารไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่แน่ชัด แต่คาดว่ามีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับภาระผูกพันรายวัน
อย่างไรก็ตาม การใช้คำว่า "การสูญเสียความเชื่อมั่น" ในบริบทนี้อาจไม่เหมาะสมนัก สิ่งที่นักวิเคราะห์ของ ECB กังวลจริงๆ คือการตื่นตัวของผู้มีส่วนร่วมในตลาดเป็นวงกว้าง ที่อาจทำให้ผู้คนตระหนักถึงลักษณะที่ไม่โปร่งใสในระบบเงินเฟียต และความวุ่นวายในตลาดทองคำอาจเป็นตัวเปิดเผยความจริงนี้
### ตลาดทองคำกระดาษ vs ทองคำกายภาพ
ตลาดทองคำทั่วโลกไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซื้อขายทองคำกายภาพ (แท่งและเหรียญ) เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ดำเนินการผ่านตราสารกระดาษ หรือที่เรียกว่า "ตลาดทองคำกระดาษ" (paper gold market) เครื่องมือการซื้อขายประกอบด้วยตราสารอนุพันธ์ (เช่น ออปชั่นทองคำ ฟอร์เวิร์ดทองคำ ฟิวเจอร์สทองคำ) รวมถึงสวอปทองคำ กองทุนอีทีเอฟ (ETFs) ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (ETPs) และใบรับรองต่างๆ
ปริมาณการซื้อขายรวมในตลาดทองคำ (ทั้งทองคำกายภาพและทองคำกระดาษ) มีมูลค่ามหาศาลถึงประมาณ 233 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน ซึ่งมากกว่ามูลค่าตลาดของทองคำที่ผลิตได้ในแต่ละปีเล็กน้อย
หากสถานการณ์ที่นักวิเคราะห์ของ ECB กังวลเกิดขึ้นจริง คือผู้มีส่วนร่วมในตลาดเริ่มแปลงทองคำกระดาษเป็นทองคำกายภาพในวงกว้าง อาจเกิดการหยุดชะงักครั้งใหญ่ในตลาด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบเงินเฟียตในที่สุด ธนาคารอาจประสบการขาดทุนจากสถานะอนุพันธ์ที่เปิดอยู่ หรืออาจเผชิญกับคำขอส่งมอบในตลาดซื้อขายล่วงหน้าและจากกองทุน ETF ที่ไม่มีทองคำกายภาพเพียงพอในคุณภาพและเวลาที่เหมาะสม ภาวะขาดแคลนสภาพคล่องอย่างรุนแรงอาจตามมา ส่งผลกระทบต่อตลาดอัตราดอกเบี้ย ตลาดหุ้น และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
### ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่ตลาดทองคำ แต่เป็นระบบเงินเฟียต
บทวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ตลาดทองคำ แต่เป็นระบบเงินเฟียตเอง หากระบบการเงินมีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง หากธนาคารมีเงินสำรอง 100% สำหรับภาระผูกพัน จะไม่มีภัยคุกคามจากการผิดนัดชำระเงินในระบบธนาคาร ไม่ว่าตลาดสินเชื่อหรือสินค้าโภคภัณฑ์จะเกิดการหยุดชะงักหรือไม่ก็ตาม
การพัฒนาในตลาดทองคำไม่ได้แยกขาดจากระบบเงินเฟียตและพฤติกรรมที่ธนาคารและสถาบันการเงินส่งเสริม สถาบันเหล่านี้มีสิทธิพิเศษในการเข้าถึงเงินธนาคารกลาง และรู้ดีว่าในยามวิกฤติ พวกเขาสามารถพึ่งพาการสนับสนุนจากธนาคารกลางได้ พวกเขายังพยายามโน้มน้าวลูกค้าให้เชื่อว่าผลิตภัณฑ์ทองคำกระดาษนั้นดีเทียบเท่าหรือดีกว่าทองคำกายภาพ เพราะ ETF และใบรับรองมีความสะดวกในการซื้อขาย ราคาถูก และอ้างว่ามีความปลอดภัย
การหลอกลวงของระบบเงินเฟียตได้แผ่ขยายเข้าสู่ตลาดทองคำด้วย จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่วันหนึ่งนักลงทุนทองคำอาจกดปุ่มฉุกเฉินและเรียกร้องให้แปลงทองคำกระดาษเป็นทองคำกายภาพ และเมื่อผู้ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สัญญาว่าจะไถ่ถอนเป็นทองคำไม่สามารถส่งมอบได้ ความจริงที่ว่า "จักรพรรดิไม่ได้สวมเสื้อผ้า" ก็จะปรากฏชัด
สิ่งที่ ECB เรียกว่า "จุดอ่อน" ของระบบการเงินต่อเหตุการณ์ในตลาดทองคำ จึงเปรียบเสมือนโจรที่ตะโกนว่า "จับโจร!" หรือขโมยที่บ่นว่านักสืบร้านค้าที่เคยหลับใหลมาตลอดกลับตื่นขึ้นมาและกลายเป็นภัยคุกคามต่อตัวเขาเอง
----
IMCT NEWS
ที่มา https://www.kitco.com/news/off-the-wire/2025-05-30/trump-spurs-questions-about-safety-germanys-gold-new-york