.

Thailand
แรงกดดัน ภาษีทรัมป์ 30% แอฟริกาใต้แกร่งขึ้น พลิกเกม BRICS หาพันธมิตรใหม่ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ”
19-9-2025
RT รายงานว่า เป็นเวลาร่วม 6 เดือนที่รัฐบาลสหรัฐฯภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ได้ใช้มาตรการกดดันแอฟริกาใต้ทั้งในมิติการเงิน การทูต และนโยบายทางการค้า โดยอ้าง "การปกป้องผลประโยชน์กลุ่มชนผิวขาวในประเทศ" ส่งผลให้เงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯราวปีละ 200–300 ล้านเหรียญ (ที่ส่วนใหญ่มุ่งสู่มหาวิทยาลัยและ NGO ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล) ถูกลดลงและเกิดการคว่ำบาตรทางการทูตตามมา
มาตรการภาษี 30% ที่สหรัฐฯบังคับใช้กับสินค้าส่งออกของแอฟริกาใต้ตั้งแต่สิงหาคม ส่งผลชัดกับกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์และไวน์ คิดเป็นต้นทุนเพิ่ม 3.5 พันล้านเหรียญในปี 2023 โดยก่อนหน้านี้อาศัยสิทธิประโยชน์จาก AGOA (African Growth and Opportunity Act) หรือ WTO เป็นหลัก แต่เมื่อภาษีใหม่มีผล สินค้าส่งออก (เช่น รถยนต์, อะไหล่, ไวน์,ผลไม้) สูญเสียความสามารถแข่งขัน–ตกเป็นรองในตลาดอเมริกันทันที.[3][4][5][8]
ผลกระทบแรกที่เห็นชัดคือ ภาวะความไม่แน่นอนในกลุ่มธุรกิจส่งออกและแรงผลักไปสู่การทบทวนคู่ค้าสำคัญ โดย GDP แอฟริกาใต้มีแนวโน้มถูกปรับลดเหลือแค่ประมาณ 1.2% ปี 2025 พร้อมการว่างงานเพิ่มขึ้น—เฉพาะกลุ่มผลไม้เช่นส้มอาจเสียงานถึง 35,000 ตำแหน่ง ด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ยอดส่งออกสู่สหรัฐฯหายไปกว่า 80% ภายในเวลาไม่กี่เดือน ส่วนการเมืองภายใน แม้ฝ่ายค้านประชาธิปไตย (DA) จะยึดจุดยืนไม่วิจารณ์รุนแรงนัก แต่ยังเชื่อมโยงปัญหาเชิงเชื้อชาติ เช่น Black Economic Empowerment และการปฏิรูปที่ดิน เข้ากับแรงกดดันจากสหรัฐฯ
รัฐบาลแอฟริกาใต้เลือกใช้ 3 กลยุทธ์ "นิ่ง-เจรจา-ปรับตัว" ต่อสถานการณ์ หลังความพยายามแก้ไขทางการทูตสำคัญในเดือนพฤษภาคมไม่ช่วยคลี่คลายข้อพิพาท รายงานระบุว่าทั้งสองฝ่ายหารือเรื่องส่งเสริมการค้า บทบาทสินค้าพลังงานดิบและการนำเข้า LNG แต่ข้อเสนอทั้งหมดไม่มีผลต่อมาตรการภาษีที่ประกาศใช้จริง
ด้วยแรงกดดัน สำนักงานช่วยเหลือผู้ส่งออก (Export Support Desk) ถูกตั้งขึ้นช่วยสนับสนุนทุนหมุนเวียนและเครื่องมือแก่ผู้ประกอบการ พร้อมดึงมิติความร่วมมือกับประเทศใหม่ทั่วโลกใต้ อาทิ ชิลี เปรู นิวซีแลนด์ อินโดนีเซีย ไทย บังกลาเทศ และกลุ่มพันธมิตรค้าผลไม้ซีกโลกใต้
ขณะเดียวกัน แอฟริกาใต้เริ่มปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ในหลายมิติ—ลดการพึ่งตลาดสหรัฐฯ หันเน้นตลาดใหม่ในกลุ่ม BRICS และประเทศฝั่งโลกใต้ ผลักดันให้มหาวิทยาลัยและภาคอุตสาหกรรมแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรตะวันออก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่อาจเปลี่ยนไลน์ผลิตไปสู่แบรนด์จีนหรืออินเดีย ตอบโจทย์ตลาดใหม่ในทวีป.[5][7][8][3]
ภาพรวม พบความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ขับเคลื่อนทั้งด้วยแรงกดดันจากสหรัฐฯและการเปลี่ยนดุลอำนาจเศรษฐกิจโลก เป็นโอกาส "เร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่าน" ของแอฟริกาใต้ ลดความเสี่ยงจากพันธมิตรเดิม และสร้างสมดุลในยุทธศาสตร์การค้ากับพันธมิตรทั่วโลก
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.rt.com/africa/624865-south-africa-copes-under-us-pressure/
© Copyright 2020, All Rights Reserved