.
ผู้นำเอเชียปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ 'เลี่ยงนโยบายทรัมป์ หันกระชับจีน–อินเดีย' สหรัฐฯ เสี่ยงถูกตัดขาดจากภูมิภาค
20-11-2025
การก้าวขึ้นของ 'ศตวรรษแห่งเอเชีย (Asian Century)' และความเสี่ยงที่นโยบายของ ทรัมป์ (Trump) จะแช่แข็ง สหรัฐฯ (US) ไว้เบื้องหลัง ความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ในการฟื้น “ความยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจของอเมริกา” แบบยุคที่ศตวรรษที่ 20 ถูกเรียกว่า “ศตวรรษของสหรัฐฯ (America’s Century)” กำลังเผชิญความเสี่ยงสำคัญ นั่นคือการทำให้สหรัฐฯ ถูกโดดเดี่ยวออกจากเอเชีย ซึ่งกำลังอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของศตวรรษที่ 21 ในฐานะภูมิภาคที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
สายสัมพันธ์ทางการค้าที่สั่งสมมานานระหว่างสหรัฐฯ กับเอเชียกำลังชนเข้ากับกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1940 ขณะที่ความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนก็เริ่มสึกกร่อน นักศึกษาแดนมังกรจำนวนมากเบื่อหน่ายต่ออุปสรรคด้านวีซ่า ส่วนชาวสิงคโปร์ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวใช้จ่ายสูงเริ่มหันไปท่องเที่ยวในเอเชียมากกว่าสหรัฐฯ
แม้ทรัมป์จะสามารถอ้างความสำเร็จบางด้าน เช่น ข้อตกลงให้ญี่ปุ่น (Japan) และเกาหลีใต้ (South Korea) ให้คำมั่นลงทุนรวมกัน 900,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสหรัฐฯ แต่เหตุการณ์อย่างการบุกตรวจค้นแรงงานต่างชาติที่นำไปสู่การควบคุมตัวแรงงานเกาหลีใต้กว่า 300 คนในเดือนกันยายน ก็สั่นคลอนความไว้วางใจอย่างหนัก
จากระเบียงอาคาร Secretariat Building ในกรุงนิวเดลี (New Delhi) ไปจนถึงทำเนียบจงหนานไห่ (Zhongnanhai) ในกรุงปักกิ่ง ผู้นำทั่วทั้งภูมิภาคที่ยังคงเป็น “เครื่องยนต์หลักของการเติบโตโลก” กำลังปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของตนเองใหม่ เพื่อเดินหน้าต่อโดยไม่ต้องพึ่งพานโยบาย America First ของทรัมป์มากเกินไป
อินเดีย (India) และจีน (China) กำลังพยายาม “แช่แข็ง” ข้อพิพาทชายแดนที่ยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษไว้ชั่วคราว เพื่อเปิดทางสู่ความร่วมมือที่ลึกซึ้งขึ้น ขณะที่สองเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ในเอเชียเหนือให้คำมั่นจะกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า แม้การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์และความขัดแย้งล่าสุดระหว่างจีน–ญี่ปุ่นจะทำให้เส้นทางไม่ราบรื่นนัก สำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ประเทศต่าง ๆ พยายามรักษาท่าทีเป็นกลาง แม้เศรษฐกิจของหลายประเทศจะพันผูกกับจีนมากขึ้นเรื่อย ๆ
สิบเดือนหลังเริ่มวาระที่สอง ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินอย่างสิ้นเชิงว่าความพยายามของทรัมป์ในการจัดระเบียบเศรษฐกิจโลกให้เป็นคุณแก่สหรัฐฯ โดยหวังดึงโรงงานที่ปิดไปแล้วและตำแหน่งงานกลับประเทศจะสำเร็จหรือไม่ คำมั่นการลงทุนจากบริษัทใหญ่ เช่น Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC) ในโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ และ HD Hyundai Heavy Industries Co. ในอู่ต่อเรือที่ถูกละเลยมานาน อาจช่วยพลิกฟื้นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์บนแผ่นดินสหรัฐฯ ได้ในระยะยาว ที่สำคัญ ผลกระทบเชิงช็อกจากกำแพงภาษีต่อเงินเฟ้อ การเติบโต และตลาดการเงินในสหรัฐฯ ที่นักเศรษฐศาสตร์เคยเตือนไว้ ยังไม่ปรากฏชัดเจน
แต่ความเสี่ยงที่เห็นได้ชัดคือ สหรัฐฯ กำลังกีดกันตัวเองออกจากภูมิภาคที่มีแนวโน้มจะมีสัดส่วนเกือบ 60% ของเศรษฐกิจโลกภายในปี 2050 ขณะที่สัดส่วนของสหรัฐฯ เองอาจเหลือเพียงราว 11% ตามการประเมินของ Bloomberg Economics สำหรับจีน มาตรการขึ้นภาษีของทรัมป์และการตอบโต้จากปักกิ่งเสี่ยงทำให้มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศหดลงกว่าครึ่ง แม้ว่าสองฝ่ายเพิ่งตกลงชะลอมาตรการจำกัดการส่งออกบางรายการเมื่อปลายเดือนตุลาคม
แม้จะชะลอตัวจากวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่จีนยังคงเป็น “โรงงานของโลก” ผู้นำจีนเพิ่งวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ชุดใหญ่เพื่อไล่กวดเทคโนโลยีสำคัญอย่างเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมอนาคต เช่น ควอนตัมคอมพิวติ้งและนิวเคลียร์ฟิวชัน Bloomberg Economics ประเมินว่า ภาคเทคโนโลยีชั้นสูงของจีนมีสัดส่วนมากกว่า 15% ของ GDP แล้ว เพิ่มจากไม่ถึง 11% ในปี 2017 และในสนาม AI จีนกำลังไล่จี้สหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว ด้วยโมเดลต้นทุนต่ำอย่าง DeepSeek ที่รุ่น R1 สร้างความประหลาดใจให้ซิลิคอนวัลเลย์ในปีนี้
ในการพบหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ที่เมืองปูซาน (Busan) เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ทรัมป์สามารถบรรลุข้อตกลงกลับมาส่งออกถั่วเหลืองและแร่หายากจากจีนอีกครั้ง ขณะที่สหรัฐฯ ตกลงชะลอกฎใหม่ที่จะขยายข้อจำกัดต่อบริษัทจีนในบัญชีดำ รัฐบาลวอชิงตันยังประกาศลดภาษีนำเข้ายาฟีแทนิล (fentanyl) จาก 20% เหลือครึ่งหนึ่ง ทำให้อัตราภาษีเฉลี่ยต่อสินค้าจีนลดลงมาอยู่ราว 31% ตามการคำนวณของ Bloomberg Economics
อย่างไรก็ตาม ระดับดังกล่าวยังสูงเกินไปสำหรับโรงงานจีนที่ดำเนินธุรกิจบนมาร์จิ้นกำไรบางมากจะทำกำไรจากการส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ และในด้านเซมิคอนดักเตอร์ ความคืบหน้ายังคงวัดกันในระดับนาโนเมตร ข่าวลือเรื่องการยอมให้ Nvidia Corp. ส่งออกชิปซีรีส์ Blackwell ระดับไฮเอนด์ไปยังจีนยังไม่เป็นจริง
สำหรับอินเดีย หุ้นส่วนในกลุ่ม Quad แนวทางของทรัมป์ถูกมองว่า “ลงโทษ” อย่างหนัก โดยเฉพาะอัตราภาษี 50% และวาทกรรมแข็งกร้าวที่โจมตีการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นการช่วยสนับสนุนสงครามยูเครน แม้ในเวทีสาธารณะ นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) จะยังเรียกทรัมป์ว่า “เพื่อน” ในความพยายามขอลดกำแพงภาษี แต่บรรยากาศทางการเมืองในอินเดียกลับเอนเอียงต้านสหรัฐฯ มากขึ้น คู่แข่งหลักอย่างราหุล คานธี (Rahul Gandhi) ระบุว่าทรัมป์เป็น “อันธพาล” (bully) และใช้มาตรการภาษีเป็น “การกรรโชกทางเศรษฐกิจ”
แนวทางดังกล่าวของทรัมป์มีส่วนเร่งให้กระบวนการปรับความสัมพันธ์ระหว่างนิวเดลีและปักกิ่งเดินหน้าเร็วขึ้น สองฝ่ายกำลังพยายามเก็บข้อพิพาทชายแดนรุนแรงในปี 2020 ไว้ข้างหลัง และหันมาลึกซึ้งความร่วมมือทางเศรษฐกิจในการเต้นรำที่สีเรียกว่า “ระบำมังกร–ช้าง” (Dragon-Elephant Tango)
เบื้องหลังประตูปิด เจ้าหน้าที่อินเดียตระหนักมากขึ้นว่าการยกระดับภาคการผลิตต้องอาศัยเงินลงทุนจากจีน ขณะที่จีนซึ่งกำลังเผชิญปัญหาสังคมสูงวัยและกำลังการผลิตส่วนเกิน มองเห็นโอกาสใช้การฟื้นสัมพันธ์กับอินเดียเพื่อเข้าถึงตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก Bloomberg Economics คาดว่า ภายในสิ้นทศวรรษนี้ อินเดียจะกลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโตเศรษฐกิจโลก และบทบาทจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในทศวรรษถัดไป
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อทรัมป์ยกกำแพงการค้า การค้าภายในเอเชียกลับเสรีขึ้น เพียงหนึ่งวันหลังทรัมป์เสร็จสิ้นการเยือนมาเลเซีย (Malaysia) นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง (Li Qiang) ของจีน และอันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ผู้นำมาเลเซีย ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามขยายเขตการค้าเสรี China-Asean Free Trade Area ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ หลี่ใช้เวทีปราศรัยเพื่อวาดภาพจีนในฐานะ “ผู้สนับสนุนการค้าเสรี” และเรียกร้องให้อาเซียนทั้ง 11 ประเทศแสดงความเป็นเอกภาพ
หลี่เตือนว่า “การแทรกแซงจากภายนอกภูมิภาคกำลังเพิ่มสูงขึ้น หลายประเทศกำลังถูกบังคับให้เผชิญกำแพงภาษีที่ไม่เป็นธรรม” และย้ำว่า การแตกแยกและเผชิญหน้า “จะไม่ก่อประโยชน์ใด ๆ นอกจากเปิดทางให้มหาอำนาจภายนอกแบ่งแยกและครอบงำ” การขยายตัวของกลุ่ม BRICS ซึ่งปัจจุบันรวมอินโดนีเซีย (Indonesia) อยู่ด้วย จึงกลายเป็นอีกช่องทางสำคัญที่จีนใช้สานสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ท่ามกลางความกังวลของหลายเมืองหลวงในเอเชียต่อความสัมพันธ์ที่สั่นคลอนกับวอชิงตัน
ไม่เพียงแต่การค้าเท่านั้นที่หดตัว การเคลื่อนย้ายคนก็กำลังเปลี่ยนไป ตัวเลขของ International Trade Administration ระบุว่า จำนวนผู้เดินทางเข้ามาศึกษาในสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคมลดลง 19% จากปีก่อนหน้า เหลือเพียงราว 313,000 คน ซึ่งเป็นเดือนสิงหาคมที่มีจำนวนนักศึกษาเข้าประเทศน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021 ช่วงโควิดระบาดรุนแรง นักศึกษาอินเดียลดลงถึง 45% ส่วนจากจีนลดลง 12%
ในขณะเดียวกัน การที่ทรัมป์ประกาศเก็บค่าธรรมเนียมคำร้องขอวีซ่าทำงานทักษะสูง H-1B ฉบับใหม่ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อชาวอินเดียซึ่งคิดเป็นสองในสามของผู้ถือวีซ่าประเภทนี้ บริษัทเอาต์ซอร์สชั้นนำของอินเดีย เช่น Tata Consultancy Services Ltd. และ Infosys Ltd. เคยใช้วีซ่า H-1B อย่างกว้างขวางในการส่งวิศวกรนับหมื่นคนไปทำงานกับลูกค้าสหรัฐฯ ตั้งแต่ Citigroup Inc. ไปจนถึง Walmart Inc.
สหรัฐฯ ของทรัมป์ยังเริ่มมีเสน่ห์น้อยลงในสายตานักท่องเที่ยวจากประเทศร่ำรวยในเอเชียอย่างสิงคโปร์ ผลสำรวจของ CNBC Travel ระบุว่า เกือบ 80% ของนักเดินทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มองว่าสหรัฐฯ น่าเที่ยวลดลง เพราะกังวลเรื่องการเลือกปฏิบัติ นโยบายของทรัมป์ และปัญหาความรุนแรงจากอาวุธปืน
อย่างไรก็ดี ในเครือข่ายซับซ้อนของการค้า การลงทุน และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน (“noodle bowl”) ความสัมพันธ์บางมิติก็ยังเดินต่อ หรือแม้แต่แข็งแรงขึ้น ในระดับธุรกิจกับธุรกิจ บริษัทอย่าง Apple Inc. ได้รับ “ข้อยกเว้น” จากมาตรการภาษีของทรัมป์บางส่วน ขณะที่บริษัทจีนจำนวนมากใช้ความได้เปรียบด้านส่วนแบ่งตลาดรักษายอดขายราว 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อวันให้กับผู้นำเข้าในสหรัฐฯ คำมั่นลงทุนจากชาติและบริษัทในเอเชียรวมกันแตะระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ แม้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพียง “ควันและกระจก” แต่ก็ยังมีโอกาสที่เงินและกำลังการผลิตจากเอเชียส่วนหนึ่งจะมุ่งหน้าไปยังสหรัฐฯ
ในสนามยุทธศาสตร์ ความมั่นคงของสหรัฐฯ ในอินโด–แปซิฟิกยังมี “ตัวกันชนอัตโนมัติ” อยู่ นั่นคือยิ่งอำนาจจีนขยายตัวมากเท่าไร ประเทศเพื่อนบ้านก็ยิ่งต้องการสหรัฐฯ มาเป็นตัวคานดุลมากขึ้นเท่านั้น สำหรับออสเตรเลีย (Australia) ซึ่งเป็นหนึ่งในชาติพัฒนาแล้วที่พึ่งพาจีนสูงที่สุด นั่นหมายถึงการทำข้อตกลงเรือดำน้ำนิวเคลียร์ระยะยาวหลายทศวรรษภายใต้กรอบ AUKUS กับวอชิงตัน เพื่อรับมือการขยายอิทธิพลของปักกิ่ง เกาหลีใต้และสหรัฐฯ ก็กำลังหารืออย่างไม่เป็นทางการเรื่องการต่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์ร่วมกันเช่นกัน ส่วนญี่ปุ่น (Japan) ซึ่งเป็นคู่แข่งประวัติศาสตร์ของจีน ตอบสนองด้วยการเพิ่มงบประมาณกลาโหม และให้คำมั่นลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่าถึง 550,000 ล้านดอลลาร์ แม้รายละเอียดจะยังคลุมเครือก็ตาม
ในสายตาทรัมป์และผู้สนับสนุน ประโยชน์ของการตัดขาดบางส่วนอาจคุ้มกับต้นทุนที่ต้องจ่าย คำถามของพวกเขาคือ เหตุใดต้องเปิดเสรีการค้าต่อไปกับจีน ในเมื่อจีนใช้รายได้เหล่านั้นเร่งขยายบทบาททางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์แข่งกับสหรัฐฯ หรือเหตุใดต้องยอมรับวิศวกรอินเดียหลายแสนคนเข้าสหรัฐฯ หากการลงทุนพัฒนาทักษะแรงงานอเมริกันเองอาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ในเชิงแนวคิด ฝ่ายทรัมป์ตั้งโจทย์ว่า รัฐบาลก่อนหน้าให้ความสำคัญกับ “การค้าเสรี–เปรียบเทียบได้เปรียบ–การย้ายฐานการผลิตเพื่อลดต้นทุน” มากเกินไป และหน้าที่ของพวกเขาคือดึงสมดุลกลับมาให้ “ความมั่นคงแห่งชาติ–การสร้างงาน–ค่าจ้างในประเทศ” ได้รับความสำคัญมากขึ้น ข้อโต้แย้งนี้มีน้ำหนักในบางมุม เพราะการผงาดขึ้นของจีนในฐานะเครื่องจักรส่งออกทรงพลังเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการลดลงอย่างรวดเร็วของการจ้างงานภาคอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ และรายได้ชนชั้นกลางที่ซบเซา ที่สำคัญ แนวคิดนี้ได้รับการยืนยันจากคูหาเลือกตั้ง เมื่อทรัมป์คว้าชัยชนะเป็นประธานาธิบดีสองสมัยติดต่อกัน
แต่ในฐานะชุดนโยบาย ภาพรวมกลับแทบไม่ใช่ “ของฟรี” สำหรับสหรัฐฯ ประเทศนี้ได้เปลี่ยนสถานะจากเพื่อนและพันธมิตร มาเป็น “คู่แข่ง” ในสายตาเมืองหลวงบางแห่ง และเป็น “อันธพาล” ในสายตาอีกหลายเมืองหลวง หากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กำแพงภาษีตัดทอนความเชื่อมโยงด้านการค้า ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนเย็นชาลง และเม็ดเงินลงทุนไม่เกิดขึ้นจริง สหรัฐฯ อาจกลายเป็นเพียง “ผู้ยืนดูอยู่ข้างสนาม” ในศตวรรษของเอเชีย มากกว่าจะเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักของภูมิภาค
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-11-18/the-asian-century-rolls-on-as-trump-risks-freezing-america-out?utm_source=website&utm_medium=share&utm_campaign=copy