จากการใช้จ่าย 1 ล้านล้านดอลลาร์ถึง F-35
จากการใช้จ่าย 1 ล้านล้านดอลลาร์ถึง F-35 — คำมั่นสัญญาระหว่างสหรัฐฯ-ซาอุฯ ยังไม่ใช่ข้อตกลงที่เกิดขึ้นจริง
20-11-2025
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวอวดถึงคำมั่นการลงทุนมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ของซาอุดีอาระเบียในสหรัฐฯ และความเป็นไปได้ในการขายเครื่องบินขับไล่F-35ให้แก่ริยาด แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ายังคงมีข้อสงสัยว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
ทรัมป์ให้การต้อนรับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ผู้ปกครองซาอุฯ โดยพฤตินัยอย่างหรูหราในกรุงวอชิงตันเมื่อวันอังคาร ขณะที่เขาเดินทางมาเพื่อหารือในประเด็นต่าง ๆ ตั้งแต่ความมั่นคงไปจนถึงความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์พลเรือน ผู้นำทั้งสองได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านกลาโหมและหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการขายเครื่องบินรบ F-35 ของสหรัฐฯ ให้แก่ซาอุดีอาระเบีย
การเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้ของมกุฎราชกุมาร (หรือ MBS ตามที่รู้จักกันทั่วไป) ไม่ได้ปราศจากประเด็นขัดแย้ง เพราะเป็นครั้งแรกที่พระองค์มาเยือนนับตั้งแต่การสังหารจามาล คาช็อกกี นักข่าวและนักวิจารณ์รัฐบาลซาอุฯ ในปี 2018
หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ระบุว่ามกุฎราชกุมารเป็นผู้อนุมัติปฏิบัติการที่นำไปสู่การสังหารคาช็อกกีในสถานกงสุลซาอุฯ ที่อิสตันบูล แต่ทางริยาดปฏิเสธการเกี่ยวข้องใด ๆ กับเหตุฆาตกรรม
แม้จะมีเสียงประณามอย่างหนักจากทั่วโลกเกี่ยวกับการตายของคาช็อกกี และข้อกังขาเกี่ยวกับการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของซาอุดีอาระเบียและการได้รับเชิญไปทำเนียบขาว ทรัมป์และ MBS ระบุว่าพวกเขาได้ “สรุปข้อตกลงสำคัญหลายฉบับที่ทำให้ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ–ซาอุฯ ลึกซึ้งยิ่งขึ้น”
ในบรรดาข้อตกลงเหล่านั้น ทำเนียบขาวระบุในแถลงการณ์ว่า ซาอุดีอาระเบียได้ให้คำมั่นจะเพิ่มมูลค่าการลงทุนในสหรัฐฯ จาก 600,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งได้ประกาศไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม เป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยระบุว่าการเพิ่มดังกล่าวสะท้อนถึง “ความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นและแรงส่งเชิงบวกลึกซึ้งภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีการระบุรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรอบเวลาในการลงทุนมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์นี้ การลงทุนมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์นั้นเทียบเท่ากับผลผลิตทางเศรษฐกิจต่อปีของซาอุดีอาระเบียในปี 2023 (อยู่ที่ 1.07 ล้านล้านดอลลาร์) และนักเศรษฐศาสตร์ต่างตั้งคำถามว่าการลงทุนระดับดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้จริงหรือจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้นี้หรือไม่
“คำมั่นลักษณะนี้ได้กลายเป็นเรื่องพบเห็นได้ทั่วไปในเวทีระหว่างประเทศ แม้ว่าจะไม่มีมาตรการบังคับใช้ใด ๆ เลย เช่นเดียวกับกรณีของสหภาพยุโรป [และคำมั่นการลงทุนในสหรัฐฯ ที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการค้า]” พอล โดโนแวน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ GBS Global Wealth Management ระบุเมื่อวันพุธ
“เพื่อให้เห็นภาพ คำมั่นที่ซาอุฯ ให้ไว้นั้นเกือบเท่ากับจีดีพีทั้งปีของราชอาณาจักร ดังนั้นคำมั่นนี้อาจไม่ถูกปฏิบัติตามในระยะใกล้” เขากล่าวเตือน
F-35
นอกเหนือจากคำมั่นการลงทุนแล้ว ทรัมป์และ MBS ยังได้หารือเกี่ยวกับการขายเครื่องบินขับไล่ F-35 ให้แก่ซาอุดีอาระเบีย โดยมีรายงานว่าราชอาณาจักรกำลังต้องการซื้อเครื่องบินขับไล่ล่องหนรุ่นนี้มากถึง 48 ลำ ซึ่งจะเป็นดีลมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
ทำเนียบขาวระบุว่า ประธานาธิบดี “ได้อนุมัติชุดการขายอาวุธหลัก ซึ่งรวมถึงการส่งมอบ F-35 ในอนาคต อันจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ฐานอุตสาหกรรมกลาโหมของสหรัฐฯ และทำให้ซาอุดีอาระเบียยังคงซื้ออาวุธจากอเมริกา” แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเครื่องบินที่จะขายหรือกรอบเวลาในการส่งมอบ
การขายอาวุธลักษณะนี้อาจสร้างความขัดแย้งให้กับฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ ซึ่งโดยปกติแล้วมีความเห็นอกเห็นใจและยืนอยู่ข้างอิสราเอล พันธมิตรหลักและยาวนานของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง
ปัจจุบันอิสราเอลเป็นประเทศเดียวในตะวันออกกลางที่มีเครื่องบิน F-35 และการขายเทคโนโลยีล่องหนขั้นสูงเช่นนี้ให้แก่ซาอุดีอาระเบียอาจถูกมองว่าเป็นความเสี่ยง เนื่องจากอาจทำให้พลวัตด้านอำนาจและกองทัพในภูมิภาคที่มีความตึงเครียดเปลี่ยนแปลงไป ในส่วนของอิสราเอลเอง กองทัพ IDF มีรายงานว่าไม่พอใจกับแนวโน้มการทำข้อตกลง F-35 กับซาอุฯ โดยเตือนว่าความเหนือกว่าทางอากาศของอิสราเอลในภูมิภาคจะถูกทำให้เสี่ยงสั่นคลอน
ทรัมป์ไม่สนใจต่อข้อกังวลเหล่านั้น โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่เมื่อวันอังคารว่า “เราจะขาย F-35” แม้ว่าเขาจะกล่าวอ้อม ๆ ถึงความไม่พอใจของอิสราเอล โดยระบุว่า “ซาอุดีอาระเบียเป็นพันธมิตรที่ยอดเยี่ยม และอิสราเอลก็เป็นพันธมิตรที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน”
เขาเสริมว่า “ผมรู้ว่าพวกเขาอยากให้คุณได้เครื่องบินที่คุณภาพลดลง แต่สำหรับผม ทั้งสองประเทศอยู่ในระดับที่ควรได้รับอาวุธชั้นยอดเหมือนกัน”
นักวิเคราะห์ระบุว่าการมอบเครื่องบิน F-35 ให้ซาอุดีอาระเบียก่อนที่ราชอาณาจักรจะลงนามในข้อตกลงอับราฮัม (Abraham Accords) ซึ่งจะเป็นการทำให้ความสัมพันธ์กับอิสราเอลเป็นปกตินั้น ถือเป็น “รางวัลที่มากเกินไป” สำหรับริยาด
แบรดลีย์ โบว์แมน ผู้อำนวยการอาวุโสแห่งมูลนิธิเพื่อการปกป้องระบอบประชาธิปไตย (Foundation for Defense of Democracies) ให้ความเห็นว่า “ซาอุดีอาระเบียเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงที่สำคัญของสหรัฐฯ และการเพิ่มความร่วมมือด้านกลาโหมทวิภาคีสามารถสนับสนุนผลประโยชน์ร่วมกันและเสริมความพยายามในการสร้างสถาปัตยกรรมความมั่นคงระดับภูมิภาคที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการยับยั้งและเอาชนะการรุกรานได้”
“อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะส่งมอบ F-35 ให้แก่ริยาด วอชิงตันควรจัดการกับข้อกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับจีน ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความเหนือกว่าทางทหารเชิงคุณภาพของอิสราเอล (Israel’s Qualitative Military Edge) และเรียกร้องให้ซาอุดีอาระเบียปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอลให้เป็นปกติก่อน”
‘เส้นทางยาวไกล’ กว่าจะส่งมอบได้จริง
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ความเห็นต่างที่ฝังรากลึกเกี่ยวกับแนวทางสองรัฐ (two-state solution) อาจทำให้ทำเนียบขาวลังเลต่อการส่งมอบ F-35 ให้ซาอุดีอาระเบีย
พอล มัสเกรฟ รองศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในกาตาร์ บอกกับ CNBC เมื่อวันพุธว่า: “การประกาศข้อตกลงใหญ่เป็นเรื่องหนึ่ง การประกาศว่าซาอุดีอาระเบียจะได้รับอนุญาตให้ซื้อ F-35 ซึ่งเป็นเครื่องบินล่องหนขั้นสูงนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การที่เครื่องบินจะลงจอดและบินขึ้นจากรันเวย์ซาอุฯ จริง ๆ นั้นเป็นอีกเรื่อง”
“ระหว่างตอนนี้จนถึงตอนนั้นยังมีรายละเอียดมากมาย และเมื่อเริ่มพิจารณารายละเอียดว่าใครจะถ่ายโอนเทคโนโลยีใดและเมื่อใด นั่นคือจุดที่สภาคองเกรส—ซึ่งถือได้ว่าเป็นมิตรกับอิสราเอลมากกว่าซาอุดีอาระเบีย—จะเข้ามามีบทบาท”
“แน่นอน นั่นไม่ได้หมายความว่าข้อตกลงนี้จะไม่เกิดขึ้น เพราะอิสราเอลเองก็ประสบกับการถดถอยด้านภาพลักษณ์สาธารณะเช่นกัน แต่ผมคิดว่าน่าจะยังมีเส้นทางที่ยาวพอสมควรจากจุดที่เราอยู่ตอนนี้ไปถึงจุดที่ต้องการไป” เขากล่าวกับรายการ “Squawk Box Europe”
ที่มา CNBC