วิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งต่อไปอาจเลวร้ายกว่านี้
วิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งต่อไปอาจเลวร้ายยิ่งกว่านี้ หากสหรัฐฯ ยังไม่พร้อมรับมือ ซ้ำรอยยุค 1930 โดยไม่มีมหาอำนาจคุมเกม
21-11-2025
Asia Times รายงานเชิงวิเคราะห์ว่า หากเกิดวิกฤตการเงินโลกครั้งใหม่ ผลกระทบอาจรุนแรงกว่าปี 2008 อย่างมาก เพราะสหรัฐอเมริกา (US) กำลังถอยจากบทบาท “ผู้นำหมายเลขหนึ่ง” ของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก ขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนจากยุคโลกาภิวัตน์ (globalization) สู่ภาวะเศรษฐกิจแตกเป็นหลายขั้ว โดยไม่มีประเทศใดพร้อมจะขึ้นมารับตำแหน่งมหาอำนาจนำแทน
ผู้เขียนชี้ว่า โลกาภิวัตน์ถูกวิจารณ์มาโดยตลอด แต่เดิมเสียงวิจารณ์มักมาจากฝ่ายซ้าย เช่น ประเด็นว่าผลประโยชน์ตกกับบรรษัทและธนาคารสหรัฐฯ มากกว่าประชาชน ทั้งในประเทศร่ำรวยซึ่งเผชิญความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น และในประเทศกำลังพัฒนาที่ถูกบังคับให้เปิดตลาดการเงิน แปรรูปรัฐวิสาหกิจ และรัดเข็มขัดการคลังเพื่อชำระหนี้ นักเศรษฐศาสตร์อย่างฟรีดริช ลิสต์ (Friedrich List) เคยเตือนตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ว่า “เสรีการค้า” เป็นเครื่องมือของอังกฤษยุคจักรวรรดิในการรักษาอำนาจเหนือคู่แข่ง
เข้าสู่ทศวรรษ 1990 นักเศรษฐศาสตร์โนเบลอย่างโจเซฟ สติกลิตซ์ (Joseph Stiglitz) วิจารณ์ว่ารูปแบบโลกาภิวัตน์ที่สหรัฐฯ ผลักดันเอื้อผลประโยชน์ให้วอชิงตันมากกว่าคนงานและประเทศกำลังพัฒนา ขณะที่นักเขียนสายเคลื่อนไหวอย่างนาโอมิ ไคลน์ (Naomi Klein) เน้นผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจากการขยายตัวของบรรษัทข้ามชาติ ระลอกการประท้วงใหญ่ของเครือข่ายสหภาพแรงงาน นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และขบวนการต่อต้านทุนนิยม – ตั้งแต่ “Battle of Seattle” ที่ล้มเวทีประชุมองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 1999 ไปจนถึงกระแส Occupy หลังวิกฤตการเงิน 2008 – เคยถูกมองว่าอาจสกัดเส้นทางโลกาภิวัตน์ได้ แต่ท้ายที่สุดแรงต่อต้านกลับย้ายฐานจากซ้ายไปสู่ขวาจัด
ในสหรัฐฯ คำวิจารณ์โลกาภิวัตน์ต่อมาหันมาโฟกัสผลกระทบภายในประเทศ คือการสูญเสียงานโรงงานและค่าจ้างที่ซบเซา นำไปสู่คำเรียกร้องมาตรการปกป้อง (protectionism) เดิมทีนำโดยสหภาพแรงงานและนักการเมืองเดโมแครตบางส่วน ก่อนที่กลุ่มขวาจัดจะรับช่วงต่อ โดยโจมตีองค์กรพหุภาคีอย่าง WTO ว่าละเมิดอธิปไตยสหรัฐฯ และกล่าวหาการแข่งขันจากต่างประเทศว่าทำลายโอกาสของแรงงานอเมริกัน พร้อมชูธงต่อต้านผู้อพยพควบคู่กัน
ในวาระที่สองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) แนวคิดเหล่านี้ถูกยกระดับเป็นนโยบายเศรษฐกิจและสังคมที่รุนแรงและสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างลึก โดยมีภาษีและกำแพงการค้าเป็นศูนย์กลาง บทความชี้ว่า ทรัมป์แม้จะพูดใหญ่บนเวทีโลก แต่ในทางปฏิบัติกำลังตอกย้ำสิ่งที่ผู้สังเกตการณ์การเมือง–ธุรกิจสหรัฐฯ เห็นมานานแล้วว่า “ศตวรรษอเมริกัน” ที่ดอลลาร์เคยเป็นสกุลเงินโลกแบบไร้คู่แข่งกำลังเร่งเข้าสู่ขาลง
แม้ก่อนทรัมป์เข้าทำเนียบขาวในปี 2017 สหรัฐฯ ก็เริ่มถอยจากบทบาทผู้นำในสถาบันเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่าง WTO แล้ว แต่ปัจจุบันจุดแข็งที่สุดของเศรษฐกิจสหรัฐฯ คือภาคเทคโนโลยีชั้นสูง กำลังถูกจีนไล่บีบอย่างหนัก เศรษฐกิจจีนตามตัวชี้วัด GDP บางแบบมีขนาดใหญ่กว่าสหรัฐฯ แล้ว ขณะที่คนอเมริกันส่วนใหญ่เผชิญปัญหารายได้แทบไม่โต ราคาสินค้าสูงขึ้น และงานไม่มั่นคง
ผู้เขียนเปรียบเทียบว่า เมื่อฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรเคยถึงปลายยุคจักรวรรดิ ผลกระทบลุกลามออกไปนอกพรมแดนมาแล้ว แต่รอบนี้ เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกันแน่นกว่าเดิม และไม่มีมหาอำนาจรายใดพร้อมจะ “รับไม้ต่อ” ความเสียหายจึงอาจกว้างกว่าและรุนแรงกว่าที่เคยเกิดในศตวรรษก่อน
เมื่อมองหาผู้ที่จะขึ้นมาแทนที่สหรัฐฯ ในฐานะ “มหาอำนาจนำ” (hegemon) ระบบโลก ปรากฏว่ามีเพียงสหภาพยุโรป (European Union: EU) และจีน (China) ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่พอ แต่ทั้งสองก็มีข้อจำกัดรุนแรง จีนถูกยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน (Joe Biden) ระบุตรง ๆ ว่าเป็น “คู่แข่งรายเดียวที่มีทั้งเจตนาจะรื้อระเบียบโลก และกำลังสั่งสมอำนาจทางเศรษฐกิจ การทูต การทหาร และเทคโนโลยีพอจะทำได้” ทรัมป์เองก็เคยพูดในทำนองชื่นชมอำนาจควบคุมเศรษฐกิจของผู้นำจีนที่ไม่ต้องเจอการเลือกตั้งหรือจำกัดวาระ
อย่างไรก็ดี ระบอบพรรคการเมืองเดียวที่รวมศูนย์อำนาจไว้สูงและขาดกลไกถ่วงดุล–ตรวจสอบตามหลักนิติรัฐ ทำให้จีนยากจะได้รับการยอมรับในเชิงการเมือง–วัฒนธรรมจากกลุ่มประชาธิปไตย แม้จะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอย่างมากในเอเชียและแอฟริกาก็ตาม นอกจากนี้ จีนยังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ทั้งภาคผู้บริโภคภายในเล็กเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ ตลาดอสังหาริมทรัพย์อ่อนแรง รัฐวิสาหกิจกู้หนี้จำนวนมากแต่ขาดประสิทธิภาพ และภาคการเงินที่ยังถูกควบคุมแน่น ไม่มีสกุลเงินสากลเทียบเท่าดอลลาร์ แม้จะพยายามผลักดันหยวนให้ใช้ในต่างประเทศก็ตาม
ผู้เขียนยกประสบการณ์จากการลงพื้นที่เซี่ยงไฮ้เมื่อปี 2007 ว่า ความแตกต่างระหว่างมหานครชายฝั่งที่เจริญระดับนิวยอร์กหรือปารีส กับพื้นที่ชนบทภายในที่ยากจนยังชัดเจนมาก ปัจจุบันแม้จะผ่านไปเกือบ 20 ปี อัตราการเติบโตของจีนชะลอลง และคนหนุ่มสาวจบมหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อยเริ่มหางานดี ๆ ไม่ได้
อีกด้านหนึ่ง ยุโรปในฐานะ “ผู้ท้าชิง” รายเดียวที่อาจขึ้นมาแทนสหรัฐฯ ก็ติดกับดักความแตกแยกภายใน EU เศรษฐกิจขนาดเล็กและเปราะบางทางตะวันออก–ใต้มีความสงสัยต่อโลกาภิวัตน์สูงขึ้น ขณะที่ความเห็นเรื่องผู้อพยพและสงครามยูเครนก็แตกขั้วมากขึ้น ปัญหา “ใครพูดแทนยุโรปได้” และการต้องหาฉันทามติจากสมาชิกทั้งหมด ทำให้โอกาสที่ EU จะผลักดันและบังคับใช้ระเบียบเศรษฐกิจโลกชุดใหม่ด้วยตนเองแทบเป็นศูนย์
ระบบการเงินของยุโรปก็ไม่มีน้ำหนักเพียงพอจะมาแทนที่ดอลลาร์ แม้มีเงินสกุลร่วมคือยูโรและธนาคารกลางยุโรป (ECB) แต่สถาบันการเงินยังแยกกันกำกับในระดับชาติ แต่ละประเทศออกพันธบัตรของตัวเอง (แม้จะเริ่มมี eurobond บ้างแล้ว) ทำให้ยูโรยังเป็นสินทรัพย์สำรองที่ดึงดูดใจน้อยกว่าดอลลาร์
โอกาสที่สหรัฐฯ จะฟื้นตัวขึ้นมาเป็นผู้นำโลกอย่างเดิมก็ไม่สดใส นโยบายของทรัมป์ที่ลดภาษีแต่เพิ่มการขาดดุลการคลังจนหนี้สาธารณะสหรัฐฯ พุ่งแตะราว 38 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 120% ของ GDP ไม่เพียงเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก แต่ยังบั่นทอนความสามารถวอชิงตันในการดูดซับหนี้ดังกล่าวไปพร้อมกัน
ที่สำคัญกว่านั้น รัฐบาลทรัมป์แสดงท่าทีไม่สนใจรื้อฟื้นหรือแม้แต่มีส่วนร่วมในสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่สหรัฐฯ เคยครองบทบาทนำและใช้ขับเคลื่อนระเบียบเศรษฐกิจโลก อาทิ WTO ขณะที่ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ อย่างเจมีสัน เกรียร์ (Jamieson Greer) เขียนบทความโจมตีระเบียบการค้าปัจจุบันว่าทำให้สหรัฐฯ สูญเสียงานอุตสาหกรรมและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ขณะที่จีนได้ประโยชน์มากที่สุด รัฐบาลทรัมป์ยังเรียกร้องให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กดดันจีนเรื่องดุลการค้าเกินดุลมหาศาล และลดน้ำหนักประเด็นภูมิอากาศลงอย่างชัดเจน
เพื่อให้เห็นภาพความเสี่ยง ผู้เขียนย้อนไปเปรียบเทียบกับยุคที่ไม่มี “มหาอำนาจนำ” ชัดเจนหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อสนธิสัญญาแวร์ซายส์ปี 1919 ลงนาม ระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้พังทลาย อังกฤษซึ่งเป็นผู้นำโลกตลอดศตวรรษก่อนหน้า ไม่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ การเมือง และการทหารมากพอจะคุมระเบียบโลกต่อ หนี้สงครามทำให้รัฐบาลลอนดอนต้องตัดงบประมาณอย่างหนัก เผชิญวิกฤตค่าเงินสเตอร์ลิงและจำใจออกจากระบบทองคำในต้นทศวรรษ 1930 เศรษฐกิจยุโรปจมอยู่ในวิกฤตเงินฝืด ว่างงานสูง และความไม่สงบทางการเมือง เปิดทางให้ลัทธิฟาสซิสม์และนาซีผงาดขึ้น
ในสหรัฐฯ เอง หลังยุค “jazz age” เศรษฐกิจเฟื่องฟูช่วงทศวรรษ 1920 ฟองสบู่ตลาดหุ้นแตกในปี 1929 จีเอ็มและฟอร์ดต้องปิดโรงงาน เลิกจ้างมหาศาล คนตกงานหนึ่งในสี่ของแรงงานทั้งประเทศ เกิด “Hooverville” แคมป์คนไร้บ้านในนิวยอร์กและเมืองใหญ่อื่น ๆ ระบบธนาคารล่ม เศรษฐกิจชนิดที่ว่าประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) ต้องประกาศ “bank holiday” แล้วถอนตัวจากการประชุมลอนดอนปี 1933 ที่หวังจะรักษาเสถียรภาพค่าเงินโลก
ผู้เขียนเชื่อว่าโลกกำลังเดินเข้าใกล้สภาวะคล้ายยุคคั่นกลาง (interwar) อีกครั้ง แต่ stakes สูงกว่าเดิม เพราะระบบการเงินวันนี้มีขนาดมหาศาลกว่า และเชื่อมกันแน่นกว่าทศวรรษ 1930 อย่างเทียบไม่ได้ หากเกิดวิกฤตรอบใหม่ – โดยเฉพาะหากตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasuries) หรือฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยี–AI ในสหรัฐฯ แตก – การขาดผู้นำโลกที่พร้อมและมีความสามารถจะ “ระดมเงินช่วยโลก” เหมือนปี 2008 จะทำให้ความเสียหายลึกและยืดเยื้อกว่ามาก
บทความอธิบายว่า พันธบัตรสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 30 ล้านล้านดอลลาร์เป็นเสาหลักของระบบการเงินโลก ใช้เป็นหลักประกันในธุรกรรมราว 70% ของสถาบันการเงินทั่วโลก ภายใต้การค้ำประกันโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) แต่ภาคการเงินเงา (shadow banking) – เช่น private equity, hedge fund, venture capital และกองทุนบำนาญที่แทบไม่ถูกกำกับและไม่ต้องกันสำรอง – เข้าไปพึ่งพาตลาดพันธบัตรมากขึ้นเรื่อย ๆ หากนักลงทุนเริ่มไม่เชื่อว่ารัฐบาลวอชิงตันสามารถแบกรับหนี้ที่พุ่งขึ้นไม่หยุดได้ และเริ่มเทขาย Treasuries จนราคาดิ่ง–ดอกเบี้ยพุ่ง อาจลุกลามเป็นวิกฤตธนาคารระดับโลกอีกรอบ
ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ แอนดรูว์ เบลีย์ (Andrew Bailey) เคยเตือนว่าความเคลื่อนไหวล่าสุดในตลาดบอนด์ “ชวนให้นึกถึง” วิกฤต 2008 ส่วนผู้อำนวยการ IMF คริสตาลินา จอร์เจียวา (Kristalina Georgieva) ยอมรับว่า ความเสี่ยงจากตลาดเครดิตนอกระบบธนาคารทำให้ “นอนไม่หลับ” ในบางคืน หากความผันผวนของตลาดบอนด์ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงรุนแรง ความเป็น “สกุลหลักของโลก” ก็จะสั่นคลอน กระตุ้นให้ธนาคารกลางต่างชาติเร่งถอนเงินสำรองออกจาก Treasuries เร็วขึ้นอีก
ขณะเดียวกัน ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ก็อยู่ในระดับมูลค่าตลาดที่ “แพงผิดปกติ” อย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่ม “magnificent seven” บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ไม่กี่รายที่ดันมูลค่ารวมตลาดขึ้นไปอย่างไม่สมดุล หากสมมติฐานเกี่ยวกับรายได้จาก AI ไม่สดใสอย่างที่พูด หรือถูกเทคโนโลยีจีนแซงหน้า วิกฤตอาจคล้ายฟองสบู่ดอตคอมแตกช่วงปี 2000–2002 ซ้ำรอยอีกครั้ง
บทเรียนจากวิกฤต 2008 คือ เมื่อระบบการเงินโลกเผชิญความเสี่ยงล้มละลาย การตัดสินใจ “ยิงกระสุนใหญ่” อย่างรวดเร็วของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร – ทั้งแพ็กเกจช่วยธนาคาร การอัดฉีดสภาพคล่องผ่าน Fed swap lines ไปยังธนาคารกลางต่างประเทศ และความร่วมมือในกรอบ G20–IMF มูลค่ารวมกว่า 11 ล้านล้านดอลลาร์ – ช่วยกันไม่ให้โลกทรุดลงระดับเดียวกับทศวรรษ 1930 แม้กลไกช่วยเหลือนั้นจะไม่ลงไปถึงครัวเรือนและประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากก็ตาม
แต่หากเกิดวิกฤตรอบใหม่ ภายใต้บริบทที่สหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ไม่สนใจความร่วมมือพหุภาคี ไม่สนับสนุนกติกาโลกาภิวัตน์ และมองความทุกข์ยากของประเทศกำลังพัฒนาว่าไม่ใช่เรื่องของตน ผู้เขียนเตือนว่า ยากจะจินตนาการว่าวอชิงตันจะยอมใช้ทรัพยากรสาธารณะระดับ “หลายล้านล้านดอลลาร์” เพื่ออุ้มระบบการเงินโลกเหมือนในอดีต
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/11/next-financial-meltdown-could-be-much-worse-with-us-on-sidelines/